google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

30 พฤศจิกายน 2557

ผลิตภัณฑ์น้ำเอนไซม์แช่ล้างผักจากธรรมชาติ 100%

ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100%  น้ำเอนไซม์แช่ผัก ผลไม้ ไข่ไก่ ข้าวสาร และเนื้อสัตว์

ผลิตจากน้ำหมักเอนไซม์จากผัก ผลไม้ หมักบ่มตามวิธีธรรมชาติ กรรมวิธีของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ แห่งบ้านสุขภาพ เป็นเวลานานกว่า 4 ปี เพื่อให้ได้เอนไซม์ที่มีคุณภาพ และสารอาหารที่สามารถนำมาแช่ผัก ผลไม้ ไข่ไก่ ข้าวสาร และเนื้อสัตว์ ช่วยลดสารพิษปนเปื้อน และเพิ่มระยะเวลาในการเก็บรักษาผัก ผลไม้ ไข่ไก่ ข้าวสารและเนื้อสัตว์ ได้นานขึ้น

ผลิตภัณฑ์ แช่ล้างผัก ยี่ห้อ Aectyl หรือเอนไซม์แช่ผัก ผลไม้ หรือที่เรียกว่า เอนไซม์อะเซ็ทไทล์ แช่ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ข้าวสาร และไข่ไก่ เป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค 100% เพราะ...

- ไม่ใส่วัตถุกันเสีย

- ไม่เจือสี

- ไม่มีฟอง

- ไม่มีสารเคมี

- ไม่ต้องล้างน้ำซ้ำ รับประทานผัก ผลไม้ที่แช่ได้เลย ไม่ต้องล้างออก

เอนไซม์อะเซ็ทไทล์ หรือ น้ำเอนไซม์แช่ล้างผัก ใช้แช่ล้างแช่ผัก ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ และข้าวสาร ได้ เพราะเป็นเอนไซม์ที่อุดมไปด้วยพลังเอนไซม์ที่สามารถแตกตัวให้ปริมาณออกซิเจนสูง และมีสารอาหารที่ได้จากเทคโนโลยีการหมักบ่มแบบไบโอนาโน ทำให้ได้ สารอาหาร เอนไซม์และออกซิเจนที่มีขนาดเล็ก สามารถแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น ช่วยในการสลายสารพิษ โดยเปลี่ยนรูปโครงสร้างของสารที่เป็นอันตรายกับเซลล์ให้กลายเป็นสารอาหารหรือสารที่ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ หลังจากแช่ผัก ผลไม้ ไว้ระยะหนึ่ง และยังช่วยรักษาความสดกรอบ ทำให้เก็บรักษา ผัก ผลไม้ ได้นานขึ้น อีกทั้งเอนไซม์อะเซ็ทไทล์ หรือน้ำเอนไซม์แช่ล้างผัก ผลไม้ ยังช่วยสลายไข่แมลง ไข่พยาธิ ทำให้ฝ่อลดกลิ่นคาวปลาแช่ เนื้อสัตว์ เพิ่มความนุ่ม ทำให้ย่อยสลายได้ง่าย และ เพิ่มน้ำหนักวัตถุดิบที่แช่อีกด้วย
ประโยชน์อื่น ๆ ของเอนไซม์อะเซ็ทไทล์ แช่ล้างผัก ผลไม้ หรือ น้ำเอนไซม์แช่ล้างผัก
  • ใช้ฉีดพ่น จุ่ม แช่ พรมดอกไม้สด ผัก ผลไม้ตามแผงขายในตลาดสด และที่อื่น ๆ ทำให้ดอกไม้ ผัก ผลไม้ สด เก็บไว้ได้นานขึ้น
  • ใช้ฉีดพ่นสลายกลิ่นสารเคมี ทินเนอร์ แลคเกอร์ ควันท่อไอเสีย ควันบุหรี่ ฉีดพ่นในรถยนต์ หรือ รถเมล์ ห้องนอน ในตู้เย็น ช่วยดับกลิ่น ลดกลิ่น ขจัดแบคทีเรีย และไวรัสได้
  • พ่นใบหน้าก็ได้เพื่อคลายเครียด โดยผสมน้ำในอัตราส่วน น้ำ 1 ส่วน เอนไซม์อะเซ็ทไทล์ 1 ส่วน ผสมแล้วควรเก็บไว้ในตู้เย็น
  • นำมาผสมกับน้ำอุ่น นั่งแช่ก้น ช่วยลดอาการริดสีดวงทวาร บรรเทาอาการคัน อาการปวดได้ดี
  • น้ำที่เหลือจากการแช่ผัก ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ ไม่ควรเททิ้ง เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนี้
  • นำไปรดน้ำต้นไม้แทนปุ๋ยได้ดีมาก ใบไม้จะเขียว หรือฉีดพ่นใส่ต้นไม้ ทำให้ต้นไม้แข็งแรง เป็นปุ๋ยอีกด้วย
  • นำไปราดท่อระบายน้ำช่วยดับกลิ่นเหม็น สลายไข่แมลงสาบ ไข่ยุง ทำให้ฝ่อ ลดการขยายพันธุ์
  • นำไปเทลาดลงในโถส้วมช่วยดับกลิ่นเหม็นเพิ่มโอโซนทำบ่อย ๆ ส้วมเต็มช้าลง

วิธีใช้น้ำเอนไซม์แช่ล้างผัก ผลไม้ ไข่ไก่ และเนื้อสัตว์
  1. เอนไซม์ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 2 ลิตร 
  2. แช่ผักนาน 15-30 นาที หลังล้างด้วยน้ำให้ผักสะอาด และควรเด็ดผักออกเป็นใบ ๆ
  3. แช่ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ นาน 1 ชั่วโมงขึ้นไป หรือบางอย่างอาจต้องแช่ทั้งลูกข้ามคืน เช่น แอปเปิล ส้ม หอมใหญ่ มะเขือเทศ ทยอยนำมาผ่าซึกแช่น้ำอีกครั้งนาน 15 นาที ก่อนนำไปบริโภค (แอบเปิ้ลควรรับประทานทั้งเมล็ดและเปลือกหลังจากแช่เอนไซม์นานพอแล้ว)
  4. สำหรับข้าวสารไม่ต้องแช่ ให้ซาวข้าวตามปกติแล้วเติม เอนไซม์ ลงในหม้อหุงข้าวหุงได้เลย ความร้อนช่วยให้การแตกประจุได้เร็วขึ้น ข้าวจะหอมนุ่มน่ารับประทาน และเก็บไว้ได้นานขึ้น

วิธีการเก็บรักษา

เก็บในที่ร่มไม่ต้องแช่เย็น


วันหมดอายุ

เก็บนานหลายปี คุณภาพยิ่งเพิ่มขึ้น สีของนำเอนไซม์อาจไม่เหมือนกันทุกขวดขึ้นอยู่กับผลไม้และสภาพแวดล้อมบางขวดอาจมีฝ้าขาวลอยอยู่ก็ไม่เป็นไรให้เขย่าขวดนำไปใช้ต่อได้เลย บางขวดอาจมีตะกอนนอนก้นหรือมีวุ้น (เจลลาติน) ก็ยิ่งดีเพราะเป็นสุดยอดหัวอาหารที่เกิดขึ้นเองเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีความเข้มข้นของสารอาหารมากพอ

ผลิตภัณฑ์ เอนไซม์แช่ล้างผัก ผลไม้ มีขนาดบรรจุ 2 ขนาดคือ

1. ขนาด 750 มิลลิลิตร ราคา 200 บาท

2. ขนาด 5000 มิลลิลิตร ราคา 650 บาท (จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นในวันที่ 15 มกราคมนี้ เป็นราคา 700 บาทค่ะ จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกันค่ะ)

สนใจติดต่อสอบถาม หรือสั่งซื้อได้ที่ Line ID : tu-bgood หรืออีเมล์ tusora@hotmail.com หรือเบอร์ 085-7100612

23 กรกฎาคม 2557

การทำเอนไซม์น้ำหมักจากสับปะรด

น้ำหมักเอนไซม์จากสับปะรด

สับปะรด (Pine Apple)
เป็นผลไม้ที่มีคุณค่ามากมายทั้งทางโภชนาการและเภสัชสาร ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย การบริโภค สับปะรดสด ก็ให้ทั้งเอนไซม์ วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารสูง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ย่อยในการย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ทั้งยัอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้ผิวพรรณสดใส....

ดังนั้น การบริโภค สับปะรด สดทุกวัน มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม ในสับปะรด มีความหวานมาก ทำให้ผู้ที่บริโภค สับปะรด เป็นประจำ อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และโลหิตจางได้ ดังนั้น การนำ สับปะรด มาแปรรูปเป็น น้ำหมักเอนไซม์สับปะรด จะช่วยลดปริมาณน้ำตาล อีกทั้งยังเพิ่มคุณค่าของสารอาหารที่ได้จากน้ำหมักเอนไซม์สับปะรด และสามารถเก็บรักษาไว้รับประทานเพื่อสุขภาพได้ยาวนาน อย่างไม่มีวันหมดอายุอีกด้วย

การทำน้ำหมักเอนไซม์จากสับปะรด  บ้านรักษ์สุขภาพ จะแยกส่วนของ เนื้อสับปะรด และเปลือกสับปะรด มาทำการหมักเพื่อให้ได้เป็นเอนไซม์น้ำหมักเพื่อสุขภาพ 

การทำน้ำหมักเอนไซม์จากเนื้อสับปะรด มีส่วนผสม ดังนี้
1. เนื่อสับปะรด  3 กิโลกรัม (ถ้ารวมแกนสับปะรด จะทำให้ได้สรรพคุณในการขับปัสสาวะ ลดอาการบวม)
2. น้ำผึ้งดอกไม้ป่า ความชืนต่ำ 1 กิโลกรัม
3. น้ำดื่มสะอาด 10 กิโลกรัม
วิธีทำ ให้หั่นสับปะรดเป็นชิ้นขนาดพอคำ แล้วใส่ลงในภาชนะหมัก เติมน้ำผึ้ง และน้ำลงไป แล้วปิดฝาถังให้สนิท หมักไว้ 6 เดือน ถึง 1 ปี สามารถเปิดนำมาขยาย เพื่อรับประทานได้

ประโยชน์ของน้ำหมักจากเนื้อสับปะรด
1. เอนไซม์น้ำหมักจากสับปะรด ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี และเอนไซม์ ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ ต่อต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ดี

2. เอนไซม์น้ำหมักจากสับปะรด ช่วยในการย่อยอาหาร ควบคุมปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือด ช่วยปกป้องการติดเชื้อ และทำให้แผลหายไว

3. เอนไซม์น้ำหมักจากสับปะรด ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ ทำให้เซลล์แข็งแรง ทำงานได้อย่างสมบูรณ์

4. เอนไซม์น้ำหมักจากสับปะรด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ช่วยลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ โรคความดัน โรคไขมัน โรคอ้วน

การทำน้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกสับปะรด สำหรับใช้อุปโภค ใช้ภายนอกร่างกาย ไม่นำมารับประทาน โดยการใช้ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน ขัดห้องน้ำ เทส้วม ดับกลิ่น เป็นปุ่ยสำหรับพืช เป็นต้น

วิธีทำ ส่วนประกอบ มีดังนี้

1. เปลือกสับปะรด 5 กิโลกรัม
2. น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร

ให้นำ เปลือกสับปะรด หั่นหรือสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ลงในถังหมัก แล้วเติมน้ำตาลทรายแดงลงไป แล้วเติมน้ำลงไปให้ท่วม ปิดฝาถังให้สนิท ตั้งไว้ในที่ร่มไม่โดยแดด นาน 30 วัน แล้วนำมาใช้ได้ หรือถ้าจะให้ได้คุณภาพดี ประมาณ 3 เดือน

ประโยชน์ของน้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกสับปะรด
1. น้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกสับปะรด อายุ 3 เดือนขึ้นไป ผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 เทลงในท่อระบายน้ำ ช่วยดับกลิ่นเหม็นได้

2. น้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกสับปะรด อายุ 3 เดือนขึ้นไป ผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างภาชนะที่มีคราบไขมัน ช่วยให้ ล้างง่ายขึ้น และลดปริมาณการใช้น้ำยาทำความสะอาด

3. น้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกสับปะรด อายุ 30 วัน ขึ้นไป ใช้เทลงในโถส้วม ท่อระบายน้ำ ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างทำความสะอาดพื้นห้องสุขา ลดกลิ่นเหม็นและฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายได้

4. น้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกสับปะรด อายุ 3 เดือนขึ้นไป ใช้เทลงในท่อระบายน้ำทิ้งจากโรงอาหารช่วยขจัดคราบไขมันอุดตัน ตามท่อน้ำทิ้ง ช่วยย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้าง ลดการบูดเน่าและกลิ่นเหม็นได้ ปรับสภาพน้ำทิ้งให้ดีขึ้น ก่อนปล่อยลงท่อน้ำทิ้งของเทศบาล

5. น้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกสับปะรด อายุ 3 เดือนขึ้นไป ผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 ให้ฉีดพ่นบริเวณที่มีกลิ่นอับชื้น ช่วยลดกลิ่นเหม็นอับ และทำให้อากาศสดชื่นหรือใช้ถูพื้นอาคารที่เป็นกระเบื้อง หินขัด ทำให้พื้นสะอาดเป็นเงางาม

6. น้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกสับปะรด อายุ 3 เดือนขึ้นไปเทลงในถังเกรอะ หรือโถส้วม ช่วยลดปัญหาส้วมเต็มกลิ่นเหม็นอืดได้

7. กากที่เหลือจากการหมักน้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกสับปะรด นำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพได้ โดยนำไปผสมกับเศษกิ่งไม้ ใบไม้ เศษหญ้า ปุ๋ยคอก แล้วราดด้วยน้ำหมักชีวภาพ คลุกเคล้าให้เข้ากัน คลุมด้วยผ้าพลาสติกทิ้งไว้

การทำเอนไซม์น้ำหมักจากสับปะรด มักจะเกิด วุ้น ในการหมักขึ้นได้ ทั้งการหมักด้วยเนื้อ หรือการหมักด้วยเปลือกสับปะรด ก็ตาม ซึ่ง วุ้นที่ได้ เรียกว่า เป็นคลอลาเจนจากพืช มีประโยชน์ และสามารถรับประทานได้ค่ะ


ผลิตภัณฑ์ น้ำหมักเอนไซม์เพื่อสุขภาพ ของบ้านรักษ์สุขภาพ มี 2 สูตร ที่มีส่วนผสมของ เอนไซม์จากน้ำหมักเนื้อสับปะรด ดังนี้

1. Multi Fruit Enzyme ขนาด 750 มล.ราคา 350 บาท
2. Premier Fruit Enzyme ขนาด 187 มล. ราคา 500 บาท (สูตรเข้มข้น)

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage หรือ ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์ http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพ หรือต้องการพูดคุยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ line id:tu-bgood

18 กรกฎาคม 2557

แนะนำการใช้เอนไซม์หยอดล้างตา

เอนไซม์หยอดล้างตา หรือ EYE DROP เป็นเอนไซม์ที่ผลิตขึ้นจากการหมักผลไม้เนื้อขาว เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี เพื่อให้ได้สารละลายเอนไซม์ที่มีสารอาหารช่วยในการขจัดเศษเซลล์ที่ตายแล้วออกจากตา และฟื้นฟูให้สารอาหารแก่เซลล์ดวงตา ทำให้ดวงตาสว่าง สดใส ลดอาการระคายเคือง คัน อันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ

การใช้เอนไซม์หยอดล้างตา 
สามารถใช้ได้บ่อยตามต้องการ เมื่อมีอาการคัน ระคายเคือง ตาแห้ง ก็สามารถใช้หยอดตาได้ หรือใช้เป็นประจำ หยอดก่อนนอน เพื่อดูแลสุขภาพของดวงตา

สำหรับคนที่ควรใช้ เอนไซม์หยอดล้างตา คือ....
1. คนที่ใช้สายตาในการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาวะตาพร่า ตาลาย ตาล้า เช่น ทำคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ขับรถท่ามกลางแสงแดดไม่มีแว่นกันแดด ตากล้องที่ถ่ายรูปกลางแสงอย่างต่อเนื่อง นักบัญชีที่ต้องใช้สายตามาก เป็นต้น เอนไซม์ช่วยหล่อลื่น ลดอาการระคายเคือง ภาวะตาพร่า ตาล้า และแพ้แสงแดดได้ดี
2. คนที่มีภาวะของโรคต่าง ๆ เช่น ภูมิแพ้ขึ้นตา ทำให้มีอาการระคายเคือง หยอดได้บ่อยเท่าที่มีอาการ ผู้ป่วยโรคตาต้อต่าง ๆ หยอดเช้า และก่อนนอน ทุกวัน ช่วยในการทำความสะอาด ขับของเสียเซลล์ที่ตายแล้วออกจากตา ลดอาการระคายเคือง ถนอมดวงตา ลดการเกิดภาวะของโรคต้อ
3. คนปกติทั่วไป หยอดก่อนนอนทุกวัน ช่วยทำให้ดวงตาสะอาด ถนอมดวงตา ลดภาวะเสื่อมของดวงตา เป็นต้น
-->

ข้อห้ามในการใช้ เอนไซม์หยอดล้างตา คือ
1. ห้ามใช้เอนไซม์หยอดล้างตา หลังจากการผ่าตัดที่ดวงตา และแผลผ่าตัดยังไม่หาย เพราะอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกับแผล หรือเกิดการอักเสบได้
2. ห้ามใช้เอนไซม์หยอดล้างตา ร่วมกัน ควรใช้ 1 คนต่อ 1 หลอด เพื่อลดอาการปนเปื้อนของเชื้อโรค
สนใจรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ ได้ทุกวัน เพียงกดไลน์ https://www.facebook.com/friutenzyme 

ข้อแนะนำเพิ่มเติม
1. สำหรับคนที่ตาแห้งมาก ๆ ในช่วงต้น ที่หยอดเอนไซม์หยอดล้างตา อาจทำให้แสบตาได้ ควรหยอดน้ำตาเทียมก่อน 5 นาที แล้วค่อยใช้เอนไซม์หยอดล้างตาหยอดตาอีกครั้ง
2. ในช่วงต้นที่หยอดเอนไซม์หยอดล้างตา อาจมีขี้ตาเกิดขึ้นมาก ไม่ต้องตกใจ ให้ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 2 ลิตร เพื่อขับของเสียออกจากดวงตา อาการนี้อาจเป็น 2 - 3 วัน ขี้ตาจะหายไปเอง

การเก็บรักษาเอนไซม์หยอดล้างตา
1. ถ้ายังไม่เปิดใช้ สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้ ไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็น ซึ่งปกติ น้ำเอนไซม์จะใส เมื่อเก็บไว้นานจะเปลี่ยนเป็นสีออกแดง ๆ หรือมีตะกอนได้ ไม่ต้องตกใจ แต่ถ้าไม่อยากให้เปลียนแปลง สามารถเก็บเข้าตู้เย็นทิ้งไว้ได้ ไม่มีวันหมดอายุ
2. ถ้าเปิดใช้แล้ว ควรเก็บไว้ในตู้เย็น และใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน หรือเก็บไม่เกิน 3 เดือน ควรเปลี่ยนขวดเพื่อความสะอาด

เอนไซม์หยอดล้างตา ที่เปิดแล้วเก็บไว้นานเกิน 1 เดือน (ไม่ได้แช่ตู้เย็น) หากเกิดการเปลี่ยนสี ตะกอน ไม่ควรหยอดตา ให้ใช้มาทาแก้ยุงกัด แต้มสิว แทนดีกว่าค่ะ

สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ tusora@hotmail.com หรือ ติดต่อทาง ไลน์ Lind id:@qwd5997q -->

14 กรกฎาคม 2557

เอนไซม์บำบัดชะลอความแก่ Enzymatic Anti aging

Enzymatic of Anti-aging หรือ Anti aging Enzyme' secrets 

ความลับสำคัญของ เอนไซม์บำบัดนการชะลอริ้วร้อนแห่งวัย หรือคงความอ่อนเยาว์ ชะลอความแก่คืออะไร วันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ จะมานำเสนอ ความลับนั้น ให้แก่ทุกท่าน ....

เอนไซม์ Enzyme เป็นกลุ่มโปรตีน ที่มีบทบาทหน้าที่ต่อปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ในร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการย่อยสลายอาหาร กระบวนการซ่อมแซม DNA กระบวนการกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย กระบวนการป้องกันร่างกาย เป็นต้น...

ความแก่ หรือริ้วรอย Aging เป็นภาวะตามธรรมชาติของเซลล์ที่ถูกสร้างขึ้นมา เมื่อใช้เวลาไปนาน ๆ ก็ย่อมมีส่วนที่สึกหรอ ต้องซ๋อมแซม หรือสร้างขึ้นใหม่ การใช้งานอย่างถนอม ดูแลซ่อมแซม และคงสภาพให้ใหม่อยู่เสมอนั่น จะทำให้ เราคงความอ่อนเยาว์ มีสุขภาพที่ดีได้ แต่ปัจจัยมากมายที่ส่งผลให้เกิด ความแก่ หรือ ริ้วรอย อาทิเช่น อาหารที่เรารับประทานเข้าไป แล้วย่อยสลายไม่หมด เหลือเป็นของเสียตกค้างในลำไส้ เกิดการหมักหมม กลายเป็นของเสีย ถูกดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือด และเข้าไปเกาะกินทำลายเซลล์ หรือไม่ขัดขวางกระบวนการซ่อมเซลล์เป็นต้น

หรือ แม้แต่ ภาวะอารมณ์ ความเครียด ซึ่งก่อให้เกิด ปฏิกิริยา ออกซิเดชั่น ในเซลล์ของร่างกาย ทำให้กระบวนการคัดลอก DNA เสียหาย หรือทำงานผิดปกติ เซลล์ที่ได้อ่อนแอ ไม่สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดภาวะความเสี่ยม เกิดริ้วรอย เกิดโรคได้....

จากงานวิจัยของดร. Elizabeth H. Blackburn, PhD ค้นพบว่า เอนไซม์ มีส่วนช่วยในการป้องกัน และซ่อมแซม DNA ของโครโมโซมในมนุษย์ และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่มาทำให้กระบวนการคัดลอก DNA ผิดปกติ โดยเมื่อร่างกายได้รับ เอนไซม์ ที่เพียงพอ ทำให้การคัดลอก DNA ดำเนินไปได้อย่างปกติสมบูรณ์ เซลล์แข็งแรงสมบูรณ์ และสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ ช่วยในการชะลอความเสื่อม และมีอายุที่ยาวนาน 

นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกชิ้นที่พบว่า การขาดสร้างจำพวก เอนไซม์  โคเอนไซม์ และวิตามิน บางชนิด จะส่งผลให้การวัดค่าสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายลดลง มีผลต่อการผลิต คอลลาเจน และการผลิตเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย แผลหายช้า และเกิดภาวะการอักเสบทั่วร่างกาย สิ่งผลให้สภาพร่างกายเสื่อมถอย แก่ง่าย ติดเชื้อง่าย เป็นโรคได้ง่าย 

ดังนั้น การแพทย์ทางเลือก จึงมีแนวความคิด ในการชะลอความแก่ ชะลอริ้วรอย ชะลอวัย รักษาปกป้อง ฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยการส่งเสริมให้เลือกรับประทานอาหารสด ใหม่ ผัก ผลไม้ และอาหารไม่ปรุงสุก ในปริมาณ 3 ส่วน 1 ของ อาหารที่ปรุงสุกใหม่ เพื่อเป็นการเสริมเอนไซม์ให้กับร่างกาย ชะลอวัย ลดการเกิดโรค ฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงอีกด้วย...

ซึ่งหากเรา ไม่สามารถ รับประทาน ผัก ผลไม้สด และอาหารไม่ปรุงสุก ได้มากพอในแต่ละวัน แนะนำให้ทาน เอนไซม์เสริมอาหาร และวิตามินเสริมอาหาร เพิ่มสุขภาพที่ดี และชะลอวัยให้แข็งแรงเป็นหนุ่มเป็นสาวที่สมวัย...

สำหรับสินค้าเอนไซม์ เพื่อชะลอวัย และริ้วรอย ของบ้านรักษ์สุขภาพ มีดังนี้
1. สินค้าประเภท รับประทานเสริมเอนไซม์ เพื่อสุขภาพ Multi Fruit Enzyme ขนาด 750 มล ราคา 350 บาท
2. สินค้าประเภท เครื่องสำอางจากเอนไซม์ เพื่อผิวพรรณ 
2.1 Shampoo เอนไซม์ สระผม ล้างหน้า อาบน้ำได้ ในขวดเดียวกัน ขนาด 500 มล. ราคา 350 บาท
2.2 สบู่เอนไซม์น้ำผึ้งมะเฟือง ขนาด 45 กรัม ราคา 60 บาท
2.3 ครีมเอนไซม์ทากลางวัน Day Cream ขนาด 35 กรัม ราคา 500 บาท
2.4 ครีมเอนไซม์ทากลางคืน Night Cream ขนาด 35 กรัม ราคา 500 บาท
2.5 สเปรย์เอนไซม์มะเฟือง ฉีดพ่นหลังล้างหน้าเป็นประจำ ขนาด 250 มล. ราคา 250 บาท

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage หรือ ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์ http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพ หรือต้องการพูดคุย สั่งสินค้า หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ line id:tu-bgood


1 กรกฎาคม 2557

น้ำหมักเอนไซม์มังคุด

น้ำหมักเอนไซม์จากมังคุด....

มังคุด (Mangosteen) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Garcinia mangostana Linn. 

มังคุด เป็นผลไม้ที่คุณค่าทางโภชนาการ และใช้เป็นยาได้

ด้วยความที่เปลือกมังคุด มีสารแทนนินอยู่สูงถึงร้อยละ 7.14 ซึ่งมีฤทธิ์ในการช่วยฝาดสมานแผล อีกทั้งยังมีสารแซนโทนมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidants) ช่วยลดการอักเสบ และมีสารแมงโกสติน (Mangostin) มีฤทธิ์เป็น Anti-septic หรือช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียนที่ทำให้เกิดหนอง ช่วยลดการอักเสบ จึงมักใช้ในการรักษาโรคผิวหนัง ผื่นตุ่มคัน แม้แต่สิว ฝ้า ก็ใช้ได้ดี

และมีรายงานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของเปลือกมังคุดไว้ว่า ...

เมื่อวิจัยเปรียบเทียบน้ำคั้นจากเปลือกมังคุดกับน้ำผลไม้อื่น ๆ พบว่า มังคุดมีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระมากกว่า แครอท ราสเบอรรี่ บลูเบอรรี่ และทับทิม 

ซึ่งสารอนุมูลอิสระ (free radicals) เป็นโมเลกุลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการลูกโซ่ (chain reaction) ของปฎิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย  ดังนั้นร่างกายจึงต้องหาทางป้องกันการโดนทำลายจากอนุมูลอิสระ โดยสิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง คือระบบแอนติออกซิแดนท์ (antioxidants)  อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างกายมีภาวะที่ปริมาณสารอนุมูลอิสระมีมากเกินกว่า ระบบแอนติออกซิแดนท์ของร่างกายจะจัดการได้ จะเกิดภาวะเครียดขึ้น (oxidative stress)  ก่อให้เกิดผลเสียต่อเซลล์ และการทำลายเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุ ของการแก่ (aging) และรุนแรงไปถึงการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ  เช่น การ กระตุ้นให้เกิดไขมันสะสมในหลอดเลือดนำไปสู่ภาวะเส้นเลือดตีบ โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน(autoimmune disease) รวมไปถึงโรคมะเร็ง (cancer) เป็นต้น

สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) จะไปทำลายฤทธิ์ของสารอนุมูลอิสระโดยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย  นอกจากร่างกายสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้เองตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว จากวิตามิน แร่ธาตุ และออกซิเจนในร่างกาย 

ซึ่งปกติเราจะได้รับ สารต้านอนุมูลอิสระจากผักและผลไม้ที่เรารับประทานเข้าไป สำหรับใน มังคุด ซึ่งมีสารแซนโทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง (potent antioxidants) และพบได้มากในเปลือกมังคุด   

ในปัจจุบันจึงมีการศึกษาวิจัยถึงประโยชน์ของสารแซนโทนจากเปลือกมังคุดในเรื่อง ผลของฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารแซนโทน ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของLDL ซึ่งเป็นคลอเลสเตอรอลตัวร้าย  จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) เป็นต้น

และรายงานการวิจัยล่าสุดปี 2555 ของศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา เผยว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุด มีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะราคาแพง ลดการอักเสบได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน และสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง อย่างไม่มีผลข้างเคียงใดๆ


ดังนั้น จะเห็นได้ว่า

สำหรับน้ำหมักเอนไซม์จากมังคุด ทาง บ้านรักษ์สุขภาพ จะแยกหมัก เป็น 2 ถังคือ

1. ส่วนของเนื้อมังคุด สีขาว รสหวาน ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดย เนื้อมังคุด 100 กรัม ให้พลังงาน 76 แคลลอรี่ มีโปรตีน 0.5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 18.4 กรัม ใยอาหาร 1.7 กรัม และยังมีแร่ธาตุสูง เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบีหนึ่ง บีสอง และไนอาซิน ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และในเนื้อมังคุด เราก็พบสารแซนโทนอยู่บ้าง แต่ไม่มากเท่าในเปลือกมังคุด ซึ่งน้ำเอนไซม์จากเนื้อมังคุดที่ได้ มีประโยชน์ ดังนี้

- ลดอาการอ่อนเพลีย ต้านอาการเมื่อยล้า (ให้พลังงาน)
- ป้องกันอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ (ให้พลังงาน)
- ป้องกันโรคอ้วน (ช่วยลดน้ำหนัก)
- ป้องกันโรคข้อเสื่อม (มีแคลเซียมสูง)
- ป้องกันโรคกระดูกผุ (มีแคลเซียมสูง)
- ระงับอาการกดประสาท (ลดความเครียด) 
- เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค
- ชะลอความชรา
- ต้านอนุมูลอิสระ
- ต้านเชื้อไวรัส
- ต้านเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น

วิธีการทำน้ำหมักเอนไซม์มังคุด
1. เนื้อมังคุดแกะเปลือกออก 3 กิโลกรัม
3. น้ำดื่มสะอาด 10 กิโลกรัม

นำทั้ง 3 ส่วน ผสมใส่ลงในภาชนะปิดสนิท เช่น แก้ว หรือถังพลาสติกชนิดทนกรด (ถังน้ำดื่มอย่างดี พลาสติกมีคำว่า PET เกรดทนกรดได้) ปิดฝาให้สนิท แล้วตั้งทิ้งไว้ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก แต่ไม่โดนแดด ในช่วงแรก อาจต้องคอยมาเปิดฝาคลายก๊าซที่เกิดขึ้นในขบวนการหมักบ้าง หมักจนอายุครบ 1 ปี สามารถดูดเอาน้ำใส หรือ เอนไซม์มังคุด ออกมาขยาย เพื่อรับประทานได้

2. ส่วนของเปลือกมังคุด รสฝาด ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นนั้น มีรายงาน ประโยชน์ของ น้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกมังคุด ดังนี้

- ป้องกันการระคายเคือง อักเสบ
- ต้านการเกิดแผลในปาก
- ลดอาการกังวล ความเครียด
- ลดภาวะสมองเสี่อม ช่วยป้องกันความผิดปกติของสมอง
- ป้องกันการเกิดเนื้องอกและมะเร็ง
- เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค
- ชะลอความชรา
- ต้านอนุมูลอิสระ
- ต้านเชื้อแบคทีเรีย
- ต้านเชื้อรา
- ลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด (ลด L.D.L.)
- ป้องกันเส้นเลือดแดงแข็งตัว
- ป้องกันโรคหัวใจ
- ป้องกันความดันต่ำ
- ป้องกันโรคอ้วน (ช่วยลดน้ำหนัก)
- ป้องกันโรคข้อเสื่อม
- ป้องกันโรคกระดูกผุ
- ป้องกันโรคภูมิแพ้
- ป้องกันอาการท้องร่วง
ที่มา: คณะแพทย์ศาสตร์ เชียงใหม่

นอกจากนี้ น้ำหมักจากเนื้อมังคุด ที่อายุการหมัก 1 - 6 ปี มีผู้บริโภคจริง แจ้งสรรพคุณไว้ว่า รักษาโรค โรคลูปัส SLE  มะเร็ง โรคผิวหนังทุกชนิด (จากคำบอกเล่า)
น้ำหมักจากเปลือกมังคุด ที่นิยมใช้จริงในผู้บริโภคของ บ้านรักษ์สุขภาพ คือ ใช้น้ำหมักจากเปลือกมังคุดอายุ 4 ปี มาทา รักษา แผลพุพอง แผลเน่าเปื่อย เป็นหนอง โรคสะเก็ดเงิน SLE แผลกัดเท้า
และบริโภคน้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกมังคุดอายุ 6 ปี ช่วยแก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง บิด ลดอาการปวดจากข้อเสื่อม กระดูกผุ ป้องกันการเกิดเนื้องอก มะเร็ง เป็นต้น

ซึ่งมีวิธีการหมัก ดังนี้

วิธีการทำน้ำหมักเอนไซม์มังคุด
1. เปลือกมังคุดที่ล้างเอาฝุ่น ผง ตะกอนออก ผึ่งให้แห้ง 3 กิโลกรัม
3. น้ำดื่มสะอาด 10 กิโลกรัม

นำทั้ง 3 ส่วน ผสมใส่ลงในภาชนะปิดสนิท เช่น แก้ว หรือถังพลาสติกชนิดทนกรด (ถังน้ำดื่มอย่างดี พลาสติกมีคำว่า PET เกรดทนกรดได้) ปิดฝาให้สนิท แล้วตั้งทิ้งไว้ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก แต่ไม่โดนแดด ในช่วงแรก อาจต้องคอยมาเปิดฝาคลายก๊าซที่เกิดขึ้นในขบวนการหมักบ้าง หมักจนอายุครบ 4 ปี สามารถดูดเอาน้ำใส หรือ เอนไซม์มังคุด ออกมาขยาย เพื่อรับประทานได้ สำหรับถังหมักเปลือกมังคุด จะมีอัตราการเกิดวุ้นจากเปลือกมังคุดสูงมาก เพียง 1 - 3 เดือนแรก หากวุ้นมีความหนาประมาณ 1/2 - 1 นิ้ว ซึ่งสามารถนำมาแช่ในน้ำผึ้ง เพื่อรับประทานได้ มีคุณค่าทางโภชนาการ และยาสูง เหมือนกับเอนไซม์จากเปลือกมังคุด แต่วุ้นจากเปลือกมังคุด เป็นใยอาหารที่ช่นิดเดียวกับ คลอลาเจนจากพืช ช่วยปรับสมดุลการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก ป้องกันอาการท้องร่วง ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง หน้าเนียนใส ไร้สิว ฝ้า เมื่อรับประทานเป็นประจำ

วิธีการรับประทาน วุ้นจากน้ำหมักมังคุด

เมื่อวุ้นมีขนาดหนาสัก 1/2 นิ้ว ขึ้นไป สามารถตัดแยกออกมา แช่ลงในน้ำผึ้งดอกไม้ป่า ความชื้นต่ำ เป็นเวลา 3 เดือน แล้วรินเอาเฉพาะ น้ำผึ้งออก ซึ่ง จากน้ำผึ้งที่เหนียว ๆ จะใสขึ้น มีรสหวานอมเปรี้ยว ให้แยกเก็บไว้ รับประทานทุกเช้า เย็น ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชะลอความแช่ ทำให้ขับถ่ายดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง 

และเมื่อแช่วุ้นในน้ำผึ้ง ครบ 3 ครั้ง สามารถ นำวุ้นนั้น มาปั่นผสมในน้ำผลไม้รับประทานได้ หรือตัดเป็นชิ้นเล็ก ขนาดพอคำ รับประทานทุกวัน เพิ่มแคลเซียม และคลอลาเจนให้กับร่างกาย

ปล. ทางบ้านรักษ์สุขภาพ มีจำหน่าย น้ำหมักเอนไซม์จากเปลือกมังคุด และวุ้นแบ่งจำหน่ายในจำนวนจำกัดเท่านั้น สนใจติดต่อสอบถามผ่านทางไลน์ได้ ค่ะ  line id:tu-bgood (มีจำนวนจำกัด เท่านั้น)

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี่..https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage ค่ะ

22 มิถุนายน 2557

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วย

อาหารต้องห้ามสำหรับผู้ป่วย หรืออาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยกลุ่มต่าง ๆ มีดังนี้

๑. ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด มีอาการไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้ย่อยยาก จึงจะทำให้เกิดความร้อนสะสมเพิ่มขึ้นในร่างกาย เปรียบเสมือน “อาหารเชื้อเพลิง” หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ ทำให้มีอาการไข้สูงขึ้นได้อีก ดังนั้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ควรระมัดระวังไม่ทานน้ำเย็นจัด หรืออาหารทอดต่าง ๆ

๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกาย สร้างความระคายเคืองให้กับแผล ทำให้เกิดอาการเป็นแล้วเป็นอีก โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเน้นเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย


๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยง.....
    ๓,๑ อาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้น สะสมในร่างกาย (ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง)
     ๓,๒ อาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว

๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยง
     ๑, อาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน
     ๒, อาหารที่มีรสเผ็ด เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป

๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารจำพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ

๗. คนที่นอนหลับไม่สนิทหรือนอนไม่หลับ ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท หากชอบดื่มชา แนะนำเป็นพวกชาสมุนไพรที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ชาคาโมมายด์ ชาลาเวนเดอร์ เป็นต้น

๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท เครื่องเทศ ที่มีรสเผ็ดรอน เช่น กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ร่างกายสูญเสียน้ำ ยิ่งทำให้อาการท้องผูกกำเริบ ทำให้เส้นเลือดฝอยแตกได้ง่าย และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

๙. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นม หรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้น ทำให้เกิดการระคายเคือง เป็นสารก่อภูมิแพ้เนื่องจากมีโปรตีนสูง และทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ

๑๐. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ด และอาหารมัน เพราะทำให้ร่างกายสะสมความร้อนชื้น ส่งผลต่อการทำงานของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลให้ความร้อนชื้นที่สะสมไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิวมากขึ้น

สนใจข้อมูลสุขภาพดี ๆ แวะเข้ามาเยี่ยมชม Facebook ของบ้านรักษ์สุขภาพ โดยทีมงาน Bgood ได้ที่ https://www.facebook.com/friutenzyme

ที่มา : นิตยสารหมอชาวบ้าน

16 มิถุนายน 2557

เอนไซม์บำบัดกับเบาหวาน

เอนไซม์บำบัดกับเบาหวาน

คำถามที่พบบ่อยคือ 

เป็นเบาหวานทานเอนไซม์แล้วหายหรือไม่ ....

กินเอนไซม์แล้วสามารถลดเบาหวานได้หรือไม่....

บ้านรักษ์สุขภาพของเล่าถึงผลการวิจัยที่อ่านมาดังนี้ 

จากการวิจัยทางการแพทย์ พบว่า ....หากคุณเป็น เบาหวานชนิดที่ 2 สำหรับผู้ใหญ่  (เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) เป็นเบาหวานที่พบเป็นส่วนใหญ่ เกิดจากการที่ตับอ่อนยังสามารถสร้างอินซูลินได้แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย) ซึ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่า การใช้ เอนไซม์ ในการบำบัด ได้ผลดีกว่า แบบที่ 1 หรือเบาหวานในเด็ก เนื่องจาก พบว่า... คนที่เป็นโรคเบาหวานจะมี เอ็นไซม์ในเลือดต่ำ โดยเฉพาะเอนไซม์ อะไมเลส ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าคนปกติ ดังนั้น การทานเอนไซม์เสริมอาหาร หรือ การทานเอนไซม์อะไมเลส เสริม จะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง

และจากการทดลองในระดับคลินิก พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวาน 50% เมื่อมีการทานเอนไซม์เสริมรวมกับการทานยาประจำ พบว่า ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น และสามารถลดการใช้ยา หรือ ลดการฉีดอินซุลินลงอีกด้วย แสดงว่า การทานเอ็นไซม์เสริม มีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน สามารถลดการใช้อินซูลิน หรือลดปริมาณยาที่กินได้โดยการทานเอ็นไซม์เสริมอาหาร และควรทานอาหารผัก ผลไม้สดก่อนอาหารทุกมื้อ เพราะจากการศึกษาพบว่า การทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งที่ผ่านการปรุงสุกจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การลดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เป็น ผัก ผลไม้สดแทนจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ดีค่ะ

สำหรับ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน การเสริมเอนไซม์บำบัด แนะนำ น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร 1 Multi fruit Enzyme โดยควรทานก่อนอาหารอย่างน้อย 30 - 60 นาที ก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อ โดยควรทานควบคู่ไปกับยาเบาหวานไปก่อน โดยหากต้องฉีดฮอร์โมน อินซูลิน ก็ต้องฉีดไปเรื่อย ๆ ก่อน และควรตรวจระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาล แล้วค่อย ๆ ลดปริมาณของยาที่รับประทานได้ในอนาคต แต่อย่าลืม ควบคุมอาหาร ทานผัก ผลไม้สดก่อนอาหารทุกมื้อ และออกกำลังกายควบคุมไปด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมโรคเบาหวานได้ในอนาคต...

13 มิถุนายน 2557

อาหารเสริมปรับสมดุล สร้างภูมิคุ้มกันด้วยเอนไซม์บำบัด

ปรับสมดุล ย่อยอาหาร สร้างภูมิคุ้มกัน  ฟื้นฟูสุขภาพ ต่อต้านโรคเรื้อรัง

ด้วย .... น้ำพลังเอนไซม์บำบัด สูตร ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงค์ ...วิถีแห่งธรรมชาติบำบัด ศาสตร์เอนไซม์บำบัดแบบองค์รวม

น้ำพลังเอนไซม์บำบัด 3 สูตร
1. Multi Fruit Enzyme : น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรผลไม้รวม 
2. N-2000 : น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเอ็นสองพัน
3. Premier Fruit Enzyme : น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น หรือหัวเชื้อเอนไซม์


คุณสมบัติและสรรพคุณ
น้ำพลังเอนไซม์บำบัด หรือ น้ำหมักเอนไซม์จากผลไม้นานาชนิด กับน้ำผึ้ง ด้วยกรรมวิถีการหมักของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงค์ แห่งบ้านสุขภาพ เป็นวิธีการหมักตามธรรมชาติ นานกว่า 6 ปี เพื่อให้ได้สารละลายเอนไซม์ กรดอะมิโน แร่ธาตุ และวิตามิน ที่อยู่ในรูปของสารประกอบไอออน เรียกส่วนของน้ำใส หรือน้ำเอนไซม์ที่ได้ว่า ไอออนิคพลาสมา Ionic Plasma

สรรพคุณของ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด
  • เพิ่มภูมิคุ้มกัน 
  • สลายสารพิษ ฟอกเลือด 
  • ปรับสมดุล บำรุงธาตุต่าง ๆ 
  • ช่วยการย่อยอาหาร ย่อยไขมัน ลดหน้าท้อง 
  • คลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวด อักเสบ บวม
  • ดื่มก่อนนอนทำให้หลับสบาย แก้ปวดเมื่อย ท้องผูก ท้องอืด (ท้องเสียรุนแรงดื่มเข้มข้นครึ่งแก้ว) 
  • ดื่มได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง โรคไต โรคเก๊าส์ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดัน สะเก็ตเงิน ไทรอยด์ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ หอบหืด อัมพฤกอัมพาต โรค SLE โรคเอดส์ และโรคอื่น ๆ 
  • ทุกโรคควรดื่มเป็นประจำทุกวันและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำในบทบัญญัติ 10 ประการของชมรมควบคู่ไปด้วยจะดีมาก

การรับประทาน

สูตร Multi Fruit Enzyme ขนาด 750 ml ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ (หรือมากกว่า) ผสมน้ำ 1 แก้ว หรือผสมน้ำผึ้งหรือผสมน้ำผลไม้ น้ำผักปั่น วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร และก่อนนอน

สูตร N-2000 ขนาด 600 ml ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 แก้ว ไม่ต้องผสมน้ำผึ้ง ทานก่อนอาหารทุกมื้อ และก่อนนอน

สูตร Premier Fruit Enzyme ขนาด 187 ml ใช้ 1 หยด ผสมน้ำ 1 แก้ว ดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ หรือดื่มได้ทั้งวัน

วิธีการเก็บรักษา เก็บในที่ร่มไม่ต้องแช่เย็น หรือ เมื่อเปิดแล้ว ควรรับประทานให้หมดภายใน 2 เดือน (เพื่อป้องกันอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารอาหารแล้วตกตะกอน)

วันหมดอายุ ยิ่งเก็บนาน คุณภาพยิ่งเพิ่มขึ้น จะมีรสเปรี้ยวมากขึ้น ถ้าชอบหวานก็ให้เติมน้ำผึ้ง อาจมีฝ้าขาว หรือวุ้น (เจลลาติน) เกิดขึ้นก็ยิ่งดี หรือมีตะกอนมากขึ้น (ไม่จำเป็นต้องเขย่าขวด)

หมายเหตุ รสชาด สี กลิ่น ไม่คงที่ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมและเวลา บ้างขวดเปรี้ยวมาก บ้างขวดซ่า บ้างขวดจืด บ้างขวดขม (ขึ้นกับธรรมชาติของการหมัก)

ปริมาณบรรจุ
1. Multi Fruit Enzyme  ขนาด 750 มล. ราคา 350 บาทต่อขวด
2. N-2000 ขนาด 600 มล. ราคา 500 บาทต่อขวด
3. Premier Fruit Enzyme ขนาด 187 มล. ราคา 500 บาทต่อขวด

การจัดส่ง เนื่องจาก น้ำพลังเอนไซม์บำบัดทุกขวด บรรจุในขวดแก้ว จึงมีการจัดส่งโดยบริษัทขนส่งจัดส่งให้ถึงบ้าน เท่านั้น ราคาเริ่มต้นในการขนส่งคือ 150 บาท (กรุงเทพ และอำเภอเมือง) ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ 200 บาท ยกเว้นจังหวัดภาคใต้ 250 บาท ยกเว้น ข้ามเกาะ 350 บาทค่ะ

สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ tusora@gmail.com หรือ Line id: tu-bgood

12 มิถุนายน 2557

รักษามะเร็งด้วยเอนไซม์บำบัด

โรคมะเร็ง เป็นโรคที่พบมากเป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย คนไทยมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งกันทุกคน ยิ่งทางการแพทย์ตรวจพบแล้วว่าในร่างกายของมนุษย์มี เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นได้ทุก ๆ วัน แต่ระบบ    ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะคอยกำจัดออกไป หากเมื่อร่างกายอ่อนแอ ทานอาหารไม่ดี ทำตัวไม่ดีอย่างต่อเนื่อง เอื้อให้ เซลล์มะเร็งเจริญได้เร็วว่า การถูกเม็ดเลือดขาว หรือภูมิคุ้มกันขจัดได้ในแต่ละวัน คนนั้นก็จะเกิดเซลล์มะเร็งโตขึ้น จนเป็นโรคมะเร็งได้

ทางการวิจัยทางการแพทย์ได้มีรายงาน การใช้ เอนไซม์บำบัด ในการสลายเซลล์มะเร็งไว้ ดังนี้

ผลการศึกษาเอนไซม์กับโรคมะเร็ง
เอนไซม์กับโรคมะเร็ง
ใน พ.ศ.2454 Dr. John Beard ได้รายงานถึงผลสำเร็จของการใช้เอนไซม์รักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ อีกประมาณ 80 ปีต่อมาคือ ใน พ.ศ.2530 Dr. Gonzalez ได้รักษาคนไข้โรคมะเร็งโดยใช้เอนไซม์บำบัด ซึ่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกา (National Cancer Institute) ได้เชิญให้เสนอผลงานสรุปรักษาคนไข้ผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านม (Breast Cancer) และมะเร็งได้กระจายไปยังสมอง (Brain) และตับ (Liver) คนไข้ได้รับการรักษาโดยใช้ เอนไซม์เป็นหลัก รวมกับการใช้ธรรมชาติบำบัด ปรากฎว่าเซลล์มะเร็งหายไป (The Cancers went away)

นอกจากนั้น คนไข้อีกหลายรายที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ทุกคนอาการดีขึ้น มะเร็ง ลดความรุนแรงลง (Remission) สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้มอบเงินทุนวิจัย 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐแก่ ดร.กอนซาเลซ เพื่อศึกษาและค้นคว้าการใช้เอนไซม์รักษาโรคมะเร็งในเชิงวิจัยเปรียบเทียบตามหลักทางสถิติต่อไป
อ้างอิงจาก richtimenetwork

และยังมีรายงานการวิจัยหลายชิ้น พบว่า การเกิดของเซลล์มะเร็งนั้น เป็นเพราะเซลล์ขาดเอนไซม์ ส่งผลให้เซลล์ไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ ดังนั้น จำเป็นที่ต้องมีการเสริมเอนไซม์ สารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ให้กับเซลล์นั้น ๆ เพื่อให้สามารถกลับมาเป็นปกติได้

แต่ถึงจะมีรายงานการศึกษาในการใช้ เอนไซม์ ในการรักษาโรคมะเร็ง และโรคต่างๆ มากมาย แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ หรือสนับสนุนจากทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างจริงจัง จึงมักได้ยินคำถาม นี้อย่างเสมอมาว่า.... เอนไซม์สามารถรักษาโรคมะเร็งได้หรือ ?

มีทฤษฏีของนักวิชาการนายแพทย์หลาายท่าน ได้พยายามตอบปัญหาว่า... การได้รับ เอนไซม์เสริมแล้วจะช่วยป้องกัน หรือรักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่ และอย่างไร....แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด เพียงแต่ได้เสนอทฤษฎีไว้ 2 ข้อ ดังนี้

ทฤษฎีที่ 1 นักวิจัยได้ทำการศึกษาจนรู้ถึงสาเหตุของการเกิดมะเร็ง ว่า เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์ปกติซึ่งมีสาเหตุจากความเครียด สารอนุมูลอิสระ โรคอ้วน การกินไขมันอิ่มตัว แสงอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ที่มากเกินไปและสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลต่อนิวคลีโอไทด์ทั้ง 4 ชนิด (adenine, gunine, cyiosine และ thymine) ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพทางเคมีของพันธุกรรมทำให้เกิดการสร้างสายโปรตีนที่ผิดปกติ และจะมีผลให้เกิดการสร้างสายโปรตีนที่ผิดปกติไปเรื่อยๆจนเกิดการลาม และทำลายเซลล์อื่นๆ ในร่างกายเราอาจมีเซลล์แบบ นี้อยู่ตั้งแต่ 100 จนถึง 10,000 เซลล์  แต่ธรรมชาติได้มีการเตรียม เอนไซม์ บางชนิดเพื่อซ่อมแซมสารพันธุกรรมให้กลับมาเป็นปกติ เพื่อที่จะสร้างสายโปรตีนที่ถูกต้อง ถ้าคุณได้รับการเสริมเอนไซม์ และสารอาหารที่เพียงพอ ร่างกายคุณก็อาจจะสามารถสร้างเอนไซม์ที่ใช้ในการซ่อมแซมสารพันธุกรรมนี้ได้มากขึ้นซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งได้

ทฤษฎีที่ 2 นักวิจัยกล่าวว่า เซลล์มะเร็งจะถูกปกคลุมได้ด้วยเยื่อหุ้มเซลล์ชนิดหนึ่ง เพื่อป้องกันการรุกรานของเม็ดเลือดขาว เป็นสาเหตุที่ เม็ดเลือดขาวไม่สามารถเข้าทำลายเซลล์มะเร็งได้เนื่องจากไม่สามารถจดจำได้ว่า เป็นเซลล์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงทำให้เซลล์มะเร็งมีโอกาสเจริญขยายเซลล์จนเกิดเป็นโรคมะเร็ง แต่ก็มีนักวิจัยหลายคน เชื่อว่าโปรตีนที่ปกคลุมเหล่านี้จะปลอมแปลงเซลล์มะเร็งให้เหมือนกับเป็นมิตรต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม   การรับประทาน เอนไซม์เสริม โดยเฉพาะ เอนไซม์โปรติเอส (protease) คือ เอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน จะช่วยในการสลายโปรตีนที่ปกคลุมเซลล์มะเร็ง ทำให้เม็ดเลือดขาวสามารถเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งได้

จาก ทฤษฏีทั้ง 2 ของนักวิจัยทางการแพทย์ที่นำเสนอมานั้น ทำให้นักโภชนาการบำบัด และนักธรรมชาติบำบัด ได้มีการแนะนำ ผู้ป่วย มะเร็ง ให้มีการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และทาน เอนไซม์เสริมอาหาร เพื่อช่วยในการฟื้นฟูและรักษามะเร็ง

ดังนั้น คนที่เป็นมะเร็งควรจะทานอาหารประเภทใด .....
     อาหารธรรมชาติสำหรับ ผู้ป่วยมะเร็ง ควรทาน อาหารจำพวกพืชผักผลไม้ ที่มีความหวาน หรือน้ำตาลต่ำ ซึ่งมะเร็งจะไม่ชอบ และให้ทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูง ๆ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ สับปะรด มะนาว ใบบัวบก มะเขือเทศ เป็นต้น ซึ่งคนที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย จึงขาดพวกเกลือแร่ เอนไซม์  วิตามิน  ฉะนั้นทางการแพทย์จึงมักแนะนำให้กินพวกเกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์ เสริมอาหารเข้าไปช่วย สรุปแล้วคนเป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้ เพราะต้องการให้ก้อนมะเร็งถูกทำลาย สลายไปโดยเร็ว  แต่ไม่ให้ขาดเกลือแร่ วิตามิน เพราะมันจำเป็นต่อการซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์

หลักการป้องกันรักษามะเร็งอีกประการคือ  การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ก็คือการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาว และทานเอนไซม์เสริมอาหาร

     โดยปกติของร่างกายที่แข็งแรง ในหนึ่งตารางมิลลิเมตรจะต้องมีเซลเม็ดเลือดขาวระหว่างห้าพันถึงหนึ่งหมื่น   ถ้าเลือดเราอยู่ในเกณฑ์นี้ หมายถึงว่าร่างกายเราแข็งแรง   หากแต่มีปริมาณน้อย หรือมากผิดปกติ แสดงว่า ร่างกายเราไม่สบาย มีความป่วยเกิดขึ้น หรืออาจเป็นโรคความเสื่อม เช่น มะเร็ง  เบาหวาน  ความดัน   ฯลฯ ดังนั้น เราจะมีวิธีการสร้างภูมิต้านทานอย่างไร ซึ่งก็สามารถทำได้โดยใช้ หลัก 6 อ. คือ
อ.1 อาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่แสลงข้างต้น
อ.2 ออกกำลังกาย ให้เลือดไหลเวียน เดินให้ได้รับแสงแดดยามเช้า
อ.3 อากาศ ให้ได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ ได้ออกซิเจนเพียงพอ หลีกเลี่ยงสถานที่อับ
อ.4 อารมณ์ ไม่เครียด ไม่โกรธ ไม่โมโห ทำใจให้มีความสุข ดับได้ให้ดับ
อ.5 อเขนก พักผ่อน นอนให้เร็ว ตื่นให้ไว ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
อ.6 เอนไซม์ ทานผัก ผลไม้ อาหารสด เสริมเอนไซม์ วิตามิน ให้เพียงพอ (แนะนำ เอนไซม์เสริมอาหารสำหรับโรคมะเร็ง คือ น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเอ็นสองพัน)

ซึ่งหากปฏิบัติได้ดังนี้แล้ว ร่างกายจะฟื้นหายจากโรคภัย และแข็งแรง ได้ โรคมะเร็งก็จะหมดไป

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage หรือ ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ


9 มิถุนายน 2557

เอนไซม์บำบัดความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย

เอนไซม์บำบัด กับ โรคเสื่อม ของร่างกาย เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ตามหลักชีววิทยา เอนไซม์ เป็นกลุ่มของโปรตีนที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาชีวเคมีต่าง ๆ ภายในเซลล์ของร่างกาย ช่วยในการย่อยสลายอาหารไปเป็นสารอาหาร พลังงาน ช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ ฟื้นฟูสุขภาพ ช่วยในการขจัดของเสีย หรือสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย ดังนั้น จึงพบว่า เอนไซม์ เป็นสิ่งที่สำคัญของร่างกาย หากร่างกายมีภาวะขาด เอนไซม์ หรือ ภาวะ พร่องเอนไซม์ จะส่งผลให้ร่างกายเกิด ความเสื่อม การทำงานผิดปกติของอวัยวะ เซลล์ และทำให้เกิดโรคได้

ปกติ ร่างกายของคนเรา สามารถ ผลิต เอนไซม์ ได้ แต่เมื่อ อายุที่มากขึ้น อวัยวะที่เสื่อมลง จะส่งผลให้ การผลิต เอนไซม์ ลดลง หรือไม่เพียงพอในการใช้ แต่ละวัน ทำให้ร่างกายค่อย ๆ เสื่อม ลง เกิดกลุ่มของอาการ โรคเสื่อม เช่น โรคไขมัน โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคภูมิแพ้ โรคสะเก็ดเงิน โรคมะเร็ง เป็นต้น

เหล่าการแพทย์แผนองค์รวม หรือแพทย์ทางเลือก ได้มีการศึกษาในการเสริมเอนไซม์ เพื่อใช้บำบัด ฟื้นฟู ป้องกัน โรคเสื่อม บรรเทา ลดโอกาศการเกิดโรคต่าง ๆ กับร่างกาย โดยใช้วิธีการเสริมเอนไซม์ ให้ทานก่อนเกิดโรค เพื่อป้องกัน และลดภาวะความเสี่ยง อีกทั้ง ยังใช้ การเสริมเอนไซม์ กับกลุ่มของผู้ป่วย โรคเรื้อรัง โรคเสื่อม ต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดัน มะเร็ง สะเก็ดเงิน ภูมิแพ้ ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ก็พบว่า อาการต่าง ๆ ดีขึ้น และทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคได้อย่างเห็นผล

จึงขอสรุปเบื้องต้นว่า... เอนไซม์ช่วยแก้ปัญหาการทำงานผิดปกติของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ได้หลายกลุ่มอาการ อาทิ ตัวอย่างเช่น ....
  • ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดตีบ โรคหัวใจ ความดันโลหิต วิงเวียน ไขมันในเลือดสูง
  • ระบบทางเดินอาหาร การขับถ่าย เช่น โรคกระเพาะ โรคลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร 
  • มะเร็งกะเพาะ/ลำไส้ ท้องผูกอาหารไม่ย่อย โรคนิ่ว ถุงน้ำดีอักเสบ โรคไตอักเสบ/ไตวายเฉียบพลัน
  • ต่อมลูกหมากโต/มะเร็ง  โรคตับ กรดไหลย้อน
  • ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ โรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคปอด ไข้หวัดใหญ่ โรคหัดต่างๆ
  • ระบบผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน สะเก็ดเงิน บำรุงผิวพรรณ สิว ฝ้า โรคผิวหนังที่เกิดจากภูมิแพ้โรค    เอสแอลอี (SLE) หรือที่รู้จักกันว่า โรคพุ่มพวง
  • ระบบกล้ามเนื้อ ไขข้อ เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ โรคเก๊าต์ ไขข้ออักเสบ ข้อเสื่อม รูมาตอยด์
  • ระบบประสาท เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาตจากเส้นเลือดในสมองอุดตัน ชาตามมือ-เท้า พาร์กินสัน
  • ระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน ก้อนที่ต่อมไทรอยด์ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
  • ระบบสืบพันธุ์ เช่น ประจำเดือนผิดปกติ รักษาความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ตั้งครรถ์ยาก
  • ระบบการสร้างเม็ดเลือด เช่น โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) ฯลฯ

อีกทั้ง เอนไซม์ ยังสามารถช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ดูแลฟื้นฟูสุขภาพรักษาอาการของโรคต่างๆ ได้อีกหลายๆ โรค เช่น ไมเกรน โรคพุ่มพวง ติดเชื้อ HIV ภาวะวัยทอง ปวดข้อเรื้อรัง เส้นเลือดหัวใจตีบจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ แผลถูกกดทับ กระเพาะเป็นแผล โลหิตไหลเวียนไม่ปกติ

และ การทานเอนไซม์เสริมสุขภาพ ยังช่วยในการเฝ้าระวังให้กับผู้ที่เคยป่วยด้วยโรคร้ายต่างๆ มาแล้ว และผู้ที่แข็งแรง ป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง หรือลดโอกาสเสี่ยงสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นโรคอีกด้วย...

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme

ไลน์ไอดี @qwd5997q


4 มิถุนายน 2557

ร่างกายขาดเอนไซม์ได้หรือไม่

ร่างกายเราขาดเอนไซม์ได้หรือไม่ ขาดแล้วจะเป็นอย่างไร พบคำตอบได้ที่บทความนี้เลยค่ะ....

สภาพของร่างกายเมื่อเกิดภาวะการขาดเอนไซม์.....


สภาพของเร่างกายเมื่อมีการขาด เอนไซม์ เรียกว่า Enzyme Deficiency conditions เป็นอาการที่แสดงว่าร่างกายมีภาวะขาดเอนไซม์ ซึ่งเราจะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

1. รู้สึกเหนื่อย หลังรับประทานอาหารมื้อหนัก
2. รู้สึกอ่อนเพลียเป็นประจำ
3. มีอาการท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นเวลา
4. มีอาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง เรอ
5. มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ผายลมเหม็น
6. มีอาการภูมิแพ้ คัดจมูก แพ้ง่าย
7. เวลาเป็นแผลหายยาก หายช้า
8. น้ำหนักตัวเพิ่มผิดปกติ กินนิดหน่อย ก็อ้วนง่าย


ส่วนอาการที่แพทย์สามารถตรวจพบถ้าเรามีอาการขาด เอนไซม์ เกิดขึ้น คือ

  • ตับอ่อนบวม
  • เม็ดโลหิตขาวเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติหลังรับประทานอาหาร 30 นาที
  • น้ำลายมีฤทธิ์เป็นกรด 
  • ปัสสาวะมีสารพิษมาก เกิดจากอาหารไม่ย่อยจึงบูดในลำไส้ใหญ่ ร่างกายจะดูดซึมพร้อมกับน้ำเข้าไปในกระแสเลือด ตับ และไต จะกรองเอาสารพิษไว้ และขับสารพิษนี้ออกทางปัสสาวะ
  • ระดับเอนไซม์ต่ำกว่าปกติในเลือด
  • ความดันโลหิตอาจสูงกว่าปกติเล็กน้อย


ในทางการแพทย์ เมื่อร่างกายมีภาวะขาดเอนไซม์ จะแบ่งสภาพของภาวะขาดเอนไซม์หรือพร่องเอนไซม์ เป็น 3 ชนิด คือ

1. สภาวะการขาดเอนไซม์โปรตีเอส Protease Deficiency Conditions
2. สภาวะการขาดเอนไซม์อไมเลส Amylase Deficiency Conditions
3. สภาวะการขาดเอนไซม์ไลเปส Lipase Deficiency Conditions

ซึ่งในแต่ละสภาวะของการขาดเอนไซม์นั้น จะส่งผลกระทบต่อร่างกาย ต่าง กัน ดังนี้

1. สภาวะการขาดเอนไซม์โปรตีเอส ทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยโปรตีนได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ร่างกายขาด กรดอะมิโน มีอาการขาดโปรตีน จะตรวจพบว่า ร่างกายมีสภาวะเลือดเป็นด่างสูง ซึ่งค่าปกติจะอยู่ที่ pH 7.4 เมื่อร่างกายมีภาวะเป็นด่างสูง จะส่งผลให้เกิดอาการกระวนกระวาย นอนไม่หลับ หงุดหงิด รำคาญ และฉุนเฉียวง่าย และสภาวะที่ร่างกายมีกรดอะมิโน หรือโปรตีนน้อยยังส่งผลให้เกิดอาการบวม อาหารที่ย่อยไม่หมดก็จะไปสะสมตกค้างในลำไส้ใหญ่ ก่อให้เกิดการหมักหมม อักเสบได้ และเป็นสารก่อให้เกิดอาการอักเสบทั่วร่างกาย และภูมิแพ้กำเริบอีกด้วย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันจะต่ำลง เพราะขาดเอนไซม์โปรติเอสไปย่อยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ และโปรตีนแปลกปลอม
ดังนั้น การเสริมเอนไซม์ด้วยอาหาร ผัก ผลไม้สด จึงจำเป็นอย่างยิ่ง

2. สภาวะการขาดเอนไซม์อไมเลส ทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยแป้ง ข้าว คาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว เช่น กลูโคสได้ จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย เซลล์อ่อนแอ ติดเชื้อง่าย อักเสบได้ง่าย น้ำเหลืองไม่ดี ซึ่งเอนไซม์อไมเลสยังทำหน้าที่ในการย่อยสลายเม็ดเลือดขาวที่ตาย เป็นหนองออกจากผิวหนัง ร่างกายอีกด้วย หากร่างกายมีภาวะขาดเอนไซม์อไมเลส จะทำให้เกิดการสะสมของเซลล์เม็ดเลือดขาว เกิดเป็นฝี หนอง ในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ปอด ผิวหนัง เกิดการแสดงอาการของ โรคหืด ถุงลมโป่งพอง ฝี หนอง โรคผิวหนัง สะเก็ดเงิน และโรคเริมอีกด้วย

3. สภาวะการขาดเอนไซม์ไลเปส ทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยไขมันและวิตามินชนิดที่ละลายในไขมันได้ การขาดเอนไซม์ไลเปสจึงก่อให้เกิดการสะสมของ โคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดสูงขึ้น เป็นต้นเหตุของ น้ำหนักตัวที่เพิ่ม ความดันโลหิตเพิ่ม โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคขาดเลือดในสมอง อีกทั้ง การขาดเอนไซม์ไลเปสทำให้ร่างกายขาด กรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ทำงานบกพร่อง ส่งผลให้เซลล์ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และไม่สามารถส่งของเสียออกจากเซลล์ได้ ทำให้เกิดอาการหรือปัญหาสุขภาพ คือ ภาวะกล้ามเนื้อกระตุ้นเกร็งผิดปกติ ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ภาวะกล้ามเนื้อที่ลำไส้ใหญ่เกร็ง เป็นต้น

ซึ่งจะเห็นได้ว่า หากร่างกายเราขาด เอนไซม์แล้วนั้น จะส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายอย่างมากมาย ดังนั้น อีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ นอกจาก 5 อ. อาหาร อากาศ อารมณ์ ออกกำลังกาย และเอกเขนก (พักผ่อน) แล้ว

ยังควรมี อ. ที่ 6 คือ เอนไซม์ด้วยนะค่ะ การเสริมเอนไซม์ด้วยอาหาร การทานผัก ผลไม้สด ทุกมื้อ ทุกวัน หรือ การดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด เพื่อเสริมเอนไซม์ เสริมสุขภาพ ป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพ จึงเป็นทางอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนรักสุขภาพนะค่ะ

ผลิตภัณฑ์เอนไซม์เพื่อสุขภาพ


หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage หรือ ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ

1 มิถุนายน 2557

เครื่องดื่มดับร้อนแบบไทยแก้หินปูนเกาะตามข้อ

เครื่องดื่มผักผลไม้ไทยแก้ปัญหาปวดเมื่อย หินปูนเกาะตามข้อ ดับร้อนแก้กระหายได้อีกด้วย

วันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ ขอนำสูตร น้ำดื่มคลายร้อนสูตร แก้หินปูนเกาะตามข้อ มานำเสนอค่ะ สำหรับช่วยหน้าร้อนแบบนี้ด้วย และยังมีปัญหาปวดเมื่อย ไหล่ติด เวลาเดินมีเสียง ปวดข้อ ยกแขนไม่ขึ้น หมุนข้อมีเสียงดัง เวลานอนก็ปวด ลองมาทำเครื่องดื่ม สูตรนี้ ทานกันนะค่ะ ช่วยบรรเทาอาการได้อย่างเห็นผลเลยค่ะ....

เครื่องดื่มสมุนไพรแก้หินปูนเกาะ หรือน้ำโหระพาผสมแกนสับปะรดนั่นเอง....



คนที่มีหินปูนเกาะตามข้อกระดูกจะทำให้มีอาการปวดเวลาเดิน หรือขยับร่างกาย อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ ปวดมากเวลาอากาศเย็น ๆ สำหรับการบรรเทาอาการหินปูนเกาะนี้

นักโภชนาการบำบัดและนักธรรมชาติบำบัด ได้แนะนำให้ เอาแกนสับปะรดกับใบโหระพา แล้วมาปั่น กรองรับประทานทุกวัน จนกว่าอาการจะดีขึ้น หายเมื่อไร ก็สามารถหยุดรับประทานได้เลย แต่ถ้ามีอาการเมื่อไร ก็ให้ทำรับประทานใหม่อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เนื่องจาก แกนสับปะรด มีสรรพคุณช่วยในการย่อย มีเอนไซม์จำพวกโปรตีน ช่วยลดอาการอักเสบ ทำให้แผลหายเร็ว อีกทั้งยังช่วยในการขับนิ่ว ขับเสมหะ แก้ไอ และช่วยในการขับปัสสาวะอีกด้วย ส่วนใบโหระพาสดนั้น มีสรรพคุณช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมในกระเพาะ ลำไส้ แก้ปวดประจำเดือน กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ปรับสมดุลของธาตุ เป็นยาอายุวัฒนะ

วิธีการทำก็ไม่ยาก ทำง่าย ๆ ดังนี้
1. ใช้แกนสับปะรด 5 ขีด
2. ใบโหระพา 1 ขีด
3. น้ำดื่มสะอาด 1/2 ลิตร
นำมาปั่นรวมกัน แล้วกรองเอากากออก ดื่มให้หมดทันที่ ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เพื่อให้คงคุณค่าของเอนไซม์และสารอาหารไว้

หากดื่มเป็นประจำ จะช่วยให้ สมองทำงานดีม สดชื่น ลดอาการปวดอักเสบ และแก้ปัญหาเรื่องหินปูนเกาะได้

ประโยชน์โดยรวมของเครื่องดื่มจากแกนสับปะรดกับโหระพา นี้คือ

1. ทำให้เม็ดเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดีขึ้น
2. เพิ่มเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน
3. ช่วยลดความดันโลหิต
4. ช่วยในการย่อย ขับลมในลำไส้ แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยระบบขับถ่าย
5. ช่วยไม่ให้เลือดข้นหรือหนืดเกินไป ทำให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น
6. ช่วยบำรุงหัวใจ ปอด
7. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณดี
8. ลดอาการอักเสบ ทำให้แผลหายเร็ว

รู้แบบนี้แล้ว คราวหน้าเวลาไปซื้อ สับปะรด อย่าลืมของแกนสับปะรดกลับมาบ้านด้วยนะค่ะ จะได้มาทำดื่ม รับรองอร่อยค่ะ จะใส่เนื้อสับปะรดไปช่วยเพิ่มความหวานก็ได้นะค่ะ

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage หรือ ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ

30 พฤษภาคม 2557

น้ำโหระพา คุณค่าแห่งสมุนไพรไทย

วันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ ขอนำเสนอ วิธีการทำ น้ำโหระพา น้ำสมุนไพรไทย เพื่อสุขภาพ ....

โหระพา เป็นสมุนไพรไทยพื้นบ้าน ที่เป็นที่รู้จักกันของคนไทย กลิ่นหอม รสชาดเฉพาะตัว ของ ใบโหระพา เป็นที่คุ้นเคย อยู่คู่กับครัวไทยมานาน... ใช้เป็นทั้งผักแกล้ม และผักใส่แกง ช่วยดับกลิ่นคาวของอาหารหลายชนิด เช่น ผัดเนื้อปลาใส่โหระพา แกงเผ็ด แกงเลียง เป็นต้น

โหระพา เป็นพืชสมุนไพร หรือ ผักสวนครัว ปลูกง่าย อยู่ในตระกูลเดียวกับกระเพรา และแมงลัก  ใบสด มีสรรพคุณช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมในกระเพาะ แก้คลื่นใส้อาเจียน บรรเทาอาการท้องร่วง และเป็นยาระบายอ่อน ๆ

นอกจากนี้ ใบโหระพายังมีสรรพคุณรักษาโรคหวัด รักษาอาการปวดศีรษะ โดยใช้ยอดอ่อนต้มกับน้ำดื่มเป็นชา หรือกินเป็นผักสด ใช้ร่วมกับขิงแก้ไอ และช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย

จากงานวิจัย พบว่า สารสกัดใบโหระพาที่ได้จากการกลั่นด้วยไอน้ำ มีสีเหลืองอ่อนถึงไม่มีสี ใบโหระพามีน้ำมันหอมระเหยอยู่ประมาณร้อยละ 0.1-1.5 เมื่อทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างจาก headspace และตรวจสอบด้วย gas chromatography พบว่าในน้ำมันหอมระเหยประกอบด้วยสารเมทิลชาวิคอล (methylchavicol) เป็นสารหลัก (ร้อยละ 93) และสารกลุ่มเทอร์พีน ได้แก่ลินาโลออล (linalool) และซินีออล (1, 8-cineol) นอกจากนี้ ยังมีสารยูจีนอล (eugenol) กรดกาเฟอิก (caffeic acid) และกรดโรสมารินิก (rosmarinic acid) เป็นต้น

น้ำมันหอมระเหยจาก โหระพาช่วยการย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงช่วยการย่อยอาหาร ขับลมแก้ท้องอืดเฟ้อ ลดการปวดเกร็งในระบบทางเดินอาหาร และแก้หวัด น้ำมันโหระพามีกลิ่นหอมหวาน เมื่อสูดดมมีคุณสมบัติช่วยให้เกิดความสงบ มีสมาธิ ลดอาการซึมเศร้า ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดัน มะเร็ง อีกด้วยค่ะ

ในการแพทย์ทางเลือกแบบองค์รวม มีการแนะนำให้ดื่มน้ำโหระพาเป็นประจำทุกวัน ช่วยในการปรับสมดุลธาตุ ทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก กระตุ้นภูมิต้านทาน ทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ทำได้งานอย่างสมบูรณ์

สำหรับวันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ จะแนะนำสูตรทำน้ำโหระพา เพื่อสุขภาพ เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ทำไว้รับประทานเป็นประจำทุกวันเพื่อสุขภาพกันค่ะ

สูตรที่ 1 น้ำชาโหระพา แบบไทย ๆ 
ส่วนประกอบ มีดังนี้
1. ใบโหระพาสด 1 ขีด
2. น้ำดื่มสะอาด 2 ลิตร


วิธีทำ 
1. ล้างทำความสะอาดโหระพา เอาฝุ่นผงออก แล้วเด็ดเอาเฉพาะใบ มาแช่ในน้ำผสมน้ำเอนไซม์แช่ล้างผัก 10 นาที แล้วนำออกสะเด็ดน้ำ 
2. เติมน้ำใส่ในหม้อสแตนเลส ตั้งไฟแรงให้น้ำเดือด เมื่อน้ำเดือด เติมใบโหระพาที่ล้างแล้วลงไป ปิดฝาหม้อ แล้วปรับเป็นไฟแรงปานกลาง 5 นาที แล้วยกหม้อลง
3. ทิ้งไว้ 10 นาที แล้ว กรองเอาเฉพาะน้ำเก็บไว้ดื่ม 
4. ดื่มร้อน ๆ หลังอาหาร ช่วยในการขับลม หรือเวลาเวียนศรีษะ ปวดหัว ช่วยบรรเทาได้
5. เก็บใส่ขวดแก้ว เก็บในตู้เย็น แบ่งดื่มแทนน้ำเปล่า ได้ตลอดวัน ช่วยปรับสมดุลของธาตุในร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง

จาก งานวิจัยของตุรกีพบว่า ชาโหระพามีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันสูงกว่าชาเขียวที่จำหน่ายในตุรกี อีกทั้งมีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลและแผ่นคราบ (พลัค) ในกระแสเลือด ซึ่งในงานวิจัยการใช้ใบโหระพาเป็นยาลดคอเลสเตอรอล ในเลือดของสัตว์ทดลองที่ประเทศโมร็อกโกพบว่า สารสกัดโหระพามีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูทดลองที่ถูกทำให้มีปริมาณไขมันสูง เนื่องจากการสะสมไขมันของแม็กโครฟาจที่เหนี่ยวนำโดยแอลดีแอล-คอเลสเตอรอล (LDL-C) หรือไขมันไม่ดี มีบทบาทสำคัญในการเกิดแผ่นคราบ (พลัค) ของโรคหลอดเลือดอุดตัน อีกด้วย

จะเห็นได้ว่า... น้ำโหระพา หรือน้ำชาโหระพา น้ำสมุนไพรโหระพา ทำง่าย ๆ แต่มีประโยชน์มากมาย เรามาทำดื่มกันดีกว่าค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดี

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage หรือ ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ

29 พฤษภาคม 2557

สูตรบำรุงผิวใสด้วยเอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดผิว

สูตรบำรุงผิวใสด้วยเอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดผิว ที่คุณเองก็ทำได้เอง

สำหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาผิวพรรณ ไม่ชอบใช้สารเคมี ชอบธรรมชาติ ขอแนะนำสูตร เอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดผิว ซึ่งทางสปาในเชียงใหม่แห่งหนึ่งได้มีการนำมาใช้ในการบำบัดผิวพรรณให้กับผู้เข้ามารับบริการ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก


และข้อดีมาก ๆ ของสูตรนี้คือ ไม่มีสารเคมี ไม่มีสารประกอบของเครื่องสำอาง ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือระคายเคืองใด ๆ ยกเว้นคุณมีผิวที่แพ้ กรดจากผลไม้ และควรหลีกเลี่ยงการออกตากแดดหลังใช้บริการ

สูตรบำรุงผิวใสด้วยเอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดผิวนี้ เป็นสูตรที่เผยแพร่ให้เป็นวิทยาทานแก่ทุกท่าน มีส่วนประกอบ ดังนี้

1. น้ำผึ้งดอกไม้ป่า หรือ น้ำผึ้งแท้ ในน้ำผึ้งจะมีฮอร์โมนธรรมชาติคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยทำให้ผิวเต่งตึง มีน้ำมีนวล เนื่องจากสารที่คล้ายฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยลดลงนั่นเองค่ะ และในน้ำผึ้งยังมีสารอาหารต่างๆ อยู่มากมาย เช่น เอนไซม์ วิตามิน และ แร่ธาตุ ที่จะเข้าไปช่วยทำให้เซลล์ผิวแข็งแรง เปล่งปลั่งขึ้น โดยเฉพาะ กรดอะมิโนที่ชื่อว่า ซีสเทอีน
กรดอะมิโนตัวนี้ มีฤทธิ์ในการทำให้เม็ดสีเมลานินในผิวหนังสร้างได้น้อยลงค่ะ นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้บางท่านนำน้ำผึ้งไปพอกหน้าแล้วหน้าขาวขึ้นได้ด้วยค่ะ

2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร Multi Fruit Enzyme หรือ น้ำเอนไซม์ผลไม้รวม นั้นเอง ในน้ำพลังเอนไซม์บำบัดนี้ จะมี เอนไซม์ และ กรดอะมิโน หลายชนิด ช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ฟื้นฟูสภาพเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวหนังแข็งแรง พร้อมทั้งแร่ธาตุอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ช่วยบำรุงผิว
ลดการอักเสบของผิว ลดอาการคัน ระคายเคือง ได้อีกด้วย และ น้ำพลังเอนไซม์บำบัดนี้ ยังเป็นที่นิยมของ นักธรรมชาติบำบัด หรือการรักษาแบบแพทย์องค์รวม ด้วยการผสมน้ำดื่มเป็นประจำทุกวัน ก่อนอาหาร และก่อนนอน เพื่อช่วยในการย่อย ปรับสมดุลของร่างกาย ฟื้นฟูสภาพร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง อีกด้วย

และปัจจุบัน ก็พบว่ามีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสกินแคร์ที่บอกว่ามีส่วนผสมของเอนไซม์ที่ดูแลรักษาผิวได้อยู่ แต่เมื่อเอนไซม์เข้าไปอยู่ในเครื่องสำอาง  อาจจะคงสภาพอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากเอนไซม์จะคงสภาพดีก็ต่อเมื่ออยู่ในค่าความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมและ อุณหภูมิที่เหมาะสม บางทีหากทำเป็นเครื่องสำอางสกินแคร์ที่ผสมเอนไซม์ อีกด้วย แต่ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ปฏิกิริยาทางเคมีในอนาคตเมื่อใช้ๆไป เอนไซม์จะเสื่อมลงหรือไม่ ทำให้อาจใช้สินค้านั้นๆไม่ได้ผลค่ะ และอาจแพ้ได้ในอนาคต แต่ก็มีหลายบริษัทชั้นนำที่สามารถคิดสูตรให้เอนไซม์คงสภาพได้จริง แต่ราคาก็แพงเป็นเงาตามตัวค่ะ

นอกจากนี้ในน้ำพลังเอนไซม์บำบัด ยังมีกรดผลไม้ที่เรียกว่า กรด AHA ที่อ่อนโยนต่อผิว กรดAHA นี้จะช่วยบำรุง ล้างพิษ และผลัดเซลล์ผิว ได้ดีเยี่ยม

สามารถนำมาใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย โดยการพอกไว้บนผิวหลังอาบน้ำ อย่างน้อย 20 -30 นาที สามารถทำได้ทุกวัน ส่วนวิธีการผสม ก็ได้ น้ำผึ้งดอกไม้ป่า 5 ส่วน น้ำพลังเอนไซม์บำบัด 1-2 ส่วน ผสมกันแล้ว พอกทิ้งไว้ หรือหากกลัวว่าเราจะแพ้หรือไม่ ให้ลองเทสต์ทาพอกไว้ทีท้องแขนสัก 1 ชั่วโมง หากไม่มีอาการระคายเคืองก็สามารถใช้ได้ค่ะ

หากพอกเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ผิวเนียนใส ลดจุดริ้วรอยด่างดำ หรือจะนำมาพอกที่บริเวณหัวนม รักแร้ หัวเข่า ข้อศอก ขาหนีบ ก็ช่วยลดรอยหมองคล้ำได้ด้วย ไม่ต้องพึ่งครีมแพง ๆ ให้เปลืองเงินเปลืองทองอีกด้วยค่ะ

แต่สูตรบำรุงผิวใสด้วยเอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดนี้ เป็นการดูแลผิวแบบธรรมชาติบำบัด ต้องใช้เวลานะค่ะ ทำไปทุก ๆ วัน จะเห็นผลได้เองค่ะ อย่าใจร้อน ประหยัดเงิน เปลืองเวลาหน่อย เพื่อความงามค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับบทความ มีดังนี้

1. น้ำผึ้งดอกไม้ป่าแท้ ความชื้นต่ำ 18%
2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด Multi Fruit Enzyme 
3. สบู่เอนไซม์น้ำผึ้ง

สนใจติดต่อสอบถาม หรือสั่งซื้อได้ที่ Line ID : tu-bgood หรืออีเมล์ tusora@gmail.com

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage
 หรือ
ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ

28 พฤษภาคม 2557

ขั้นตอนการผลิตน้ำเอนไซม์เพื่อการบริโภค

ขั้นตอนการผลิตเอนไซม์สำหรับบริโภค

การผลิตน้ำหมักเอนไซม์เพื่อการบริโภคสำหรับดื่มเพื่อสุขภาพ  

เราจะใช้ผลไม้ที่มีอยู่มากมายในประเทศของเราซึ่งมีตลอดทั้งปี โดยเลือกผลไม้ที่มีสีสันต่าง ๆ มาทำการหมักเป็นน้ำเอนไซม์ แยกถังหมักกัน (ไม่ควรรวมกันหมัก เพราะผลไม้แต่ละชนิดมีอัตราการย่อยสลาย หรือการหมักเกิดเป็นน้ำเอนไซม์ และกรดอะมิโน แตกต่างกัน ....

ซึ่งเราจะมีการทำการหมักน้ำเอนไซม์เพื่อการบริโภค ดังต่อไปนี้

1. การจัดเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งประกอบไปด้วย
1.1 น้ำผึ้ง
1.2 ผลไม้ที่ต้องการ
1.3 น้ำสะอาด สามารถดื่มได้
1.4 ถ้วยตวง หรือตาชั่ง
1.5 ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท

2. นำผลไม้ที่ต้องการหมักมาทำความสะอาด แล้วตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ (ซึ่งผลไม้แต่ละชนิดจะให้ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุแตกต่างกัน แต่จะให้กลุ่มของเอนไซม์ใกล้กัน อาจแตกต่างกันที่ปริมาณของเอนไซม์ที่จะได้เล็กน้อย)

3. นำผลไม้ไปชั่ง หรือตวง ให้ได้ ผลไม้ทั้งหมด 3 ส่วน หรือ 3 กิโลกรัม

4. นำน้ำผึ้งดอกไม้ป่า ความชื้นต่ำ ของแท้ มาชั่ง หรือตวง ให้ได้ 1 ส่วน หรือ 1 กิโลกรัม

5. นำน้ำมาตวง หรือชั่งให้ได้ 10 ส่วน หรือ 10 ลิตร หรือ 10 กิโลกรัม

6. แล้วเติมส่วนผสมทั้งข้อ 3, 4 และ 5 ลงในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท โดยเหลือพื้นที่ของขวด 1/5 ส่วน เพื่อให้มีพื้นที่ในการหมุนเวียนของอากาศในขวด

7. ปิดฝาแล้วทำประวัติติดข้างภาชนะ ให้ชัดเจน ดังนี้
7.1 ชนิดของผลไม้
7.2 วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต

8. แล้วนำเก็บในห้องที่มีอากาศถ่ายเท และมีแสงแดดส่องน้อยที่สุด เก็บนาน 3 - 6 เดือน (ขึ้นกับชนิดของผลไม้ โดยให้สังเกตุว่า น้ำที่ได้ใสหรือยัง) และให้หมั่นเปิดจุกคลายอากาศออกแล้วปิดทันทีในช่วงสัปดาห์แรก

9. เมื่อได้ระยะเวลา 3 - 6 เดือนแล้ว เกิดน้ำใสที่เรียกว่า สารละลายเอนไซม์  แยกกับตะกอน และชิ้นผลไม้ ก็ให้ดูดออกด้วยสายยาง แล้วนำมาขยายต่ออีกทุก ๆ 3 -6  เดือน เป็นเวลา 3 ปี ในอัตราส่วน น้ำใสหรือน้ำหมักเอนไซม์ 1 ส่วนต่อน้ำผึ้ง 1 ส่วน น้ำ 10 ส่วน โดยทุก ๆ ครั้งที่ ทำการขยาย สามารถนับอายุเอนไซม์ต่อไปได้เรื่อย ๆ

การขยายน้ำหมักเอนไซม์เพื่อการบริโภค แนะนำให้ใช้น้ำหมักเอนไซม์ที่มีอายุอย่างน้อย 4-10 ปี เพื่อให้ได้รับสารอาหาร และคุณค่าของเอนไซม์อย่างสมบูรณ์

การขยายน้ำหมักเอนไซม์เพื่อนำมาบริโภค หรือรับประทานนั้น มีขั้นตอนดังนี้

1. หัวเชื้อน้ำหมักเอนไซม์ที่อายุอย่างน้อย 4 ปี ซึ่งเมื่อนำมาทำการหมักขยายแล้วมีประสิทธิภาพไม่ลดลง และเป็นการขยายเพื่อให้ได้ปริมาณมากขึ้น  โดยให้ดูดเฉพาะส่วนใสมา 1 ส่วน
2. เติมน้ำผึ้งลงไปอีก 1 ส่วน และเติมน้ำดื่มสะอาดลงไป 10 ส่วน ในภาชนะที่ปิดสนิท ( ถ้าใช้น้ำผึ้งที่มีความชื้น 18% สามารถทานได้ทันที แต่ถ้าเราใช้น้ำผึ้งธรรมดาจะต้องหมักไว้นาน 3 - 6  เดือนจึงจะนำมาทานได้ )

2. แต่ถ้าเราขยายน้ำเอนไซม์แล้วไม่ทาน เมื่อทิ้งไว้จนครบ 6 เดือน เราสามารถนำมาขยายต่อในอัตราส่วนเท่าเดิมได้อีก คือ น้ำเอนไซม์ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน ทำให้ประหยัดเวลาในการหมัก และได้ปริมาณเอนไซม์เพื่อการบริโภคสำหรับสุขภาพเพิ่มขึ้นได้ค่ะ....

น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น หรือหัวเชื้อ Premier Fruit Enzyme เป็นน้ำหมักจากเอนไซม์ผลไม้ 20 กว่าชนิดมารวมกัน โดยมีอายุการหมักเริ่มต้นที่ 10 ปี ทำให้ได้หัวเชื้อสูตรเข้มข้น สำหรับใช้ดื่มเพื่อสุขภาพ ขจัดของเสียในร่างกาย หรือดีท๊อกซ์ และสามารถนำมาใช้เป็นหัวเชื้อหมักขยาย เพื่อการทำน้ำเอนไซม์เพื่อการบริโภคได้อีกด้วย....


หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage
 หรือ
ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ


25 พฤษภาคม 2557

การรับประทานเอนไซม์ต้องรับประทานขณะท้องว่าง จริงหรือ.....

การรับประทานเอนไซม์ต้องรับประทานขณะท้องว่าง....

การรับประทาน เอนไซม์ หรือ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด เพื่อสุขภาพนั้น ต้องรับประทานขณะท้องว่าง เพื่อช่วยในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน หรือช่วยในการทำลายโมเลกุลโปรตีนที่แปลกปลอมออกจากกระแสเลือด หรือร่างกาย การรับประทาน เอนไซม์ ควร ทานขณะท้องว่าง 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ก่อนอาหาร หรือ ประมาณ 1 - 2 ชั่วโมงหลังอาหาร เพื่อให้ เอนไซม์ ที่รับประทานเข้าไปนั้น ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ผ่านระบบการย่อยสลายอาหารในกระเพาะ เพราะหากรับประทาน เอนไซม์ ในขณะมีอาหารในกระเพาะ เอนไซม์ จะเข้าไปทำหน้าที่ในการย่อยอาหารเสียก่อน จนไม่เหลือเข้ากระแสเลือดตามต้องการ


ดังนั้น สำหรับ คนที่เป็นโรค มะเร็ง การรับประทานเอนไซม์ที่ถูกต้อง คือ ทานตอนท้องว่าง ทั้งก่อน และ หลัง อาหาร เพื่อให้ เอนไซม์ ทำหน้าที่ในการขจัดสิ่งแปลกปลอม เซลล์มะเร็ง โปรตีนแปลกปลอม ออกจากกระแสเลือดให้ได้เร็วที่้สุด

ซึ่ง เอนไซม์ ในน้ำพลังเอนไซม์บำบัด นั้น มีหลากหลายชนิด โดยเฉพาะ เอนไซม์ พวกโปรติเอส ที่เมื่อรับประทาน เอนไซม์ ขณะท้องว่างลงไปแล้ว ร่างกายจะสามารถดูดซีม เอนไซม์ นั้น เข้าสู่กระแสเลือดได้ภายใน 5 นาที เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว จะทำหน้าที่ไปย่อยสลาย หรือขจัด โปรตีนแปลกปลอม ออกจากเลือด เรียกว่า เป็นการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายแข็งแรงขึ้น ได้ผลอย่างดี

แต่การรับประทาน เอนไซม์ หรือ น้ำพลังเอนไซม์บำบัดนั้น มีวิธีการรับประทานหลายวิธี ซึ่งแล้วแต่จุดประสงค์ของผู้บริโภค

การรับประทานเอนไซม์ หรือน้ำพลังเอนไซม์บำบัด จะรับประทานขนาดเท่าไร....จะรับประทานตอนไหน เรามาดูกันว่า เราจะสามารถรรับประทานน้ำพลังเอนไซม์บำบัด ได้อย่างไรบ้างกันนะค่ะ

ขนาดการบริโภคที่แนะนำ ของ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด มีดังนี้

1. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด Multi Fruit Enzyme และน้ำเอนไซม์ สูตร N-2000 คือ 1 -2 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว (250 cc) สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป หากเด็กอายุไม่ถึง 1 ขวบ ก็ปรับขนาดลงเหลือ 1 ช้อนชาต่อนม 1 ขวด หรือเด็กอายุต่ำว่า 12 ปี ก็รับประทานเพียง 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว จะเป็นน้ำผลไม้ หรือนม ก็ได้ ส่วนบางท่านน้ำหนักตัวมาก ตัวใหญ่ อาจรับประทาน 2-4 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 300 cc ก็ได้ตามสะดวก โดยปรับปริมาณตามขนาดร่างกาย และความต้องการของร่างกาย สามารถเพิ่มหรือลดได้ตามสภาวะของความรู้สึกของร่างกายท่าน

2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด Premier Fruit Enzyme แนะนำให้รับประทาน ดังนี้ 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ขวดลิตร หรือ 1 หยดต่อ 1 แก้ว 250 cc จะเพิ่มลดตามขนาดน้ำหนักตัว และอายุได้ ดังข้างต้น

ส่วนเวลาของการบริโภค เอนไซม์ หรือ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด นั้น ควรบริโภคแต่เฉพาะช่วงท้องว่างอย่างเดียวหรือไม่  หรือทานตอนไหนได้บ้าง เราแนะนำให้รับประทานเอนไซม์เสริม ตามแต่จุดประสงค์ความต้องการของผู้บริโภค ดังนี้

1. หากต้องการรับประทานเอนไซม์ หรือน้ำพลังเอนไซม์บำบัด เพื่อให้การย่อยดีขึ้น มีปัญหาเรื่องท้องอืด อาหารไม่ย่อย มีกรดในกระเพาะ จะแนะนำให้รับประทานทันทีก่อนอาหาร เพื่อช่วยในการย่อย และปรับสมดุลกรดด่างในกระเพาะอาหาร

2. หากรู้สึกมีอาการกรดไหลย้อน หรือท้องอืด สามารถรับประทานหรือดื่มน้ำเอนไซม์ได้ทันที เพื่อปรับสมดุลของภาวะกรดด่างในกระเพาะอาหาร เพราะน้ำเอนไซม์ ถึงจะมีสภาวะเป็นกรด แต่เป็นกรดอ่อน เรียกว่า เป็น กรดสะเทิน เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายจะไปแตกตัว ปรับสมดุลของร่างกายให้เป็นด่าง ช่วยลดภาวะท้องอืด และ กรดไหลย้อนได้ดีค่ะ

3. หากต้องการให้ภาวะอาการป่วยที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันลดลง หรือ มีของเสียในกระแสเลือด เช่น โรคหวัด โรคภูมิแพ้ โรคมะเร็ง โรคผิวหนัง  แนะนำให้รับประทาน เอนไซม์ ช่วงเวลาที่ท้องว่าง หรือในกระเพาะอาหารไม่มีอาหารค่ะ ซึ่งเมื่อรับประทานเอนไซม์อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้เองว่า อาการต่าง ๆ จะดีขึ้น

4. หากต้องการรับประทาน เอนไซม์ เพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก หรือย่อยสลายไขมันส่วนเกิน แนะนำให้ รับประทานเอนไซม์เพิ่มเติมจากมื้ออาหาร โดยการรับประทานเอนไซม์ช่วงท้องว่าง ก่อนเข้านอน เพื่อให้เอนไซม์เข้าตรงสู่กระแสเลือด และไปทำความสะอาดขณะไขมันในหลอดเลือดค่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับ การรับประทานเอนไซม์นั้น จำเป็นต้อง ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำแร่ ตามให้เพียงพอ อย่างน้อย 2 ลิตร เพื่อให้น้ำเป็นตัวช่วยในการนำพาเอนไซม์เข้ากระแสเลือด ช่วย เอนไซม์ ในการทำปฏิกิริยาเคมีในการย่อยสลายสิ่งแปลกปลอม ช่วย เอนไซม์ ในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย เป็นต้น ดังนั้น การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากด้วยค่ะ

หมายเหตุ สำหรับผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะ หรือเป็นโรคแผลในกระเพาะอยู่ อย่าเพิ่งรับประทานเอนไซม์ ในช่วงท้องว่าง ให้ทานพร้อมอาหารไปก่อน เพื่อให้ เอนไซม์ ไปช่วยระบบการย่อย ปรับสมดุลกรดด่างในกระเพาะ และค่อย ๆ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะค่ะ เมื่ออาการแผลในกระเพาะดีขึ้นแล้ว ก็สามารรับประทาน เอนไซม์ ในขณะท้องว่างได้ค่ะ

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage หรือ ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ