google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

22 ธันวาคม 2555

โรคอะไรบ้างที่สามารถรักษาและบำบัดด้วยธรรมชาติบำบัด


จากข้อมูลที่ได้รับจากนานาประเทศที่มีการใช้วิธีการบำบัดทางธรรมชาติบำบัดนั้น ทำให้เราพบว่าโรคเรื้อรังในปัจจุบัน สามารถใช้การรักษาบำบัดโดยวิถีทางธรรมชาติได้ จากการวิจัยสรุปได้ว่าโรคและอาการเจ็บป่วยที่สามารถรักษาหายได้มีดังนี้
  • ปวดศรีษะ
  • หลอดลมอักเสบ
  • หืดหอบ
  • กรดไหลย้อน
  • โรคบิดมีเชื้อ
  • โรคตับอักเสบ
  • โรคนอนไม่หลับ
  • โรคหัวใจ
  • โรคเก๊าต์
  • โรคพิษตกค้าง
  • โรคเบาหวาน
  • โรคนิ่วในถุงน้ำดี
  • โรคไส้เลื่อน
  • โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน
  • โรคทางเดินหายใจ
  • โรคผิวหนัง
  • โรคสะเก็ดเงิน
  • โรคลำไส้อักเสบ
  • โรคระบบการย่อยอาหาร
  • โรคความดันโลหิต
  • โรคไขข้ออักเสบ
  • โรคริดสีดวงทวาร
  • โรคไต
  • โรคประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • โรคเครียด
  • โรคปวดหลัง
  • โรคปัสสาวะเป็นเลือด
  • โรคอัมพฤต อัมพาต
การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดด้วยน้ำพลังเอนไซม์บำบัด
ทำให้เกิดการขับสารพิษในร่างกายระดับเซลล์ ซึ่งจะมีอาการข้างเคียงต่าง ๆ เกิดขึ้นในระหว่างการรักษาด้วยวิธีนี้ ดังนั้น ผู้ที่จะเริ่มการรักษาด้วยน้ำพลังเอนไซม์บำบัดจะต้องเข้าใจกลไกของร่างกาย และยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นได้

นั่นคือ กำลังใจ และจิตต้องตั้งมั่น ไม่ตื่นตระหนกตกใจกับอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งทุกโรคมักจะมีอาการคล้ายกันคือ
  1. ถ่ายบ่อย ปัสสาวะบ่อย
  2. วิงเวียน มึนศีรษะ
  3. รับประทานอาหารได้น้อย
  4. ไม่นอนเวลากลางคืน กระสับกระส่าย
  5. อาการทางผิวหนัง
  6. ผื่นแดง
  7. หายใจแรง
  8. ร้อนวูบวาบ
  9. อาเจียน
  10. อ่อนเพลีย
  11. ง่วงนอนกลางวัน
  12. ตื่นบ่อย ๆ
  13. คัน
  14. บวม
  15. เหนื่อยง่าย
อาการเหล่านี้เป็นอาการขับสารพิษของร่างกาย ดังนั้นหากเกิดอาการต่าง ๆ ดังกล่าว ให้ปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้
  • ดื่มน้ำโหระพา หรือใบเตย หรือสะระแหน่ (ต้มในน้ำเดือด 1 ลิตร ใช้สมุนไพร 100 กรัม)
  • ดื่มน้ำธัญพืช หรือน้ำข้าวกล้องงอก
  • ดื่มน้ำเอนไซม์ผลไม้เข้มข้น
  • รับประทานซุปผัก ที่ย่อยง่าย
  • ดื่มน้ำผักปั่นทุก ๆ 1 ชั่วโมง อย่างละ 100 cc
  • ดื่มน้ำอุ่นหรืออุณหภูมิห้อง 250 cc ทุกชั่วโมง
  • พักผ่อนนอนหลับก่อน 21.00 น.
สรุปการดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดเพื่อฟื้นฟูโรค จำเป็นต้องคำนึงถึง
  1. การไหลเวียนของเลือดในร่างกาย และภาวะความเป็นกรดด่างในเลือด
  2. อาหารสำรองที่ต่อเนื่อง โดยใช้สารอาหารที่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
  3. ปริมาณน้ำที่มากพอที่จะผลักดันให้ของเสียออกจากร่างกายให้หมดภายใน 1 วัน
-->

9 ธันวาคม 2555

โรคภูมิแพ้ รักษาได้ด้วยธรรมชาติบำบัด

โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่เกิดจากภูมิต้านทานในร่างกายไวต่อสิ่งเร้า หรือสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งในคนปกติจะไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น แต่คนที่เป็น โรคภูมิแพ้ จะมีปฏิกิริยาไวเกินต่อ สารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เป็นต้น
โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้เป็น 4 โรค ตามอวัยวะที่เกิด เช่น
  • โรคแพ้อากาศ หรือ โรคโพรงจมูกอักเสบ
  • โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรือ โรคคันตา
  • โรคหอบหืด
  • โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
ผู้ที่ป่วยเป็น โรคภูมิแพ้ อาจมีอาการเดียว หรือ หลายอาการ หลายอวัยวะที่เกิด โรคภูมิแพ้ ก็ได้
alerrgy
อาการของ โรคภูมิแพ้ ได้แก่ คัดจมูก จาม น้ำมูกใส ผื่นคัน บวม แดง เกิดอาการเมื่อได้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เป็นต้น ซึ่งอาการต่าง ๆ จะแตกต่างกัน ตามอวัยวะ เช่น
  • โรคแพ้อากาศ หรือ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผู้ป่วยมักมีอาการคันจมูก คันตา คันคอ จามติด ๆ กัน น้ำมูกใส มีเสมหะ ไอตอนกลางคืน เป็นต้น
  • โรคหอบหืด มีอาการหอบ หายใจลำบาก หายใจเสียงดัง วี๊ด ๆ ไอมากตอนกลางคืน หรือเวลาโดนอากาศเย็น
  • โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ มีอาการคันตา ตาแดง มีเมือกขาว ๆ ที่ตา
  • โรคผื่นแพ้ทางผิวหนัง เป็นผื่นคัน อักเสบ บวม เมื่อสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เป็นต้น
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธ์ หรือเกิดจากภาวะร่างกายพร่องเอนไซม์ หรือภูมิต้านทานร่างกายต่ำลงก็ได้ เช่น ในช่วงที่คุณตั้งครรภ์ หรือช่วงที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงเป็นต้น
ซึ่ง ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ได้บรรยาย เรื่องของ โรคภูมิแพ้ ไว้ว่า หาก โรคภูมิแพ้ ที่ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่เกิดจากภาวะร่างกายพร่องเอนไซม์ หรือร่างกายได้รับอาหารไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของร่างกาย หมายถึง ร่างกายเราไม่สามารถย่อยสลายอาหารหรือเปลี่ยนรูปอาหารที่เรารับประทานเข้าไปเป็นสารอาหารและนำไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้ จึงกลับกลายเป็นของเสียตกค้างในร่างกาย และถูกแบคทีเรียในร่างกายย่อยสลายเปลี่ยนรูปเป็นสารพิษ แล้วถูกดูดกลับเข้ากระแสเลือด นำไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายแทน จึงทำให้ในร่างกายเต็มไปด้วย ของเสีย เซลล์อ่อนแอ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และเกิดภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง จึงทำให้เราเกิดอาการของ โรคภูมิแพ้ ได้

ดังนั้น การดูแลฟื้นฟูร่างกายสำหรับ โรคภูมิแพ้ ด้วยหลักธรรมชาติบำบัด คือ การนำสารอาหารที่พร้อมดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้เซลล์ได้รับสารอาหารไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยฟื้นฟูเซลล์ ทำให้เซลล์แข็งแรง และขับของเสียออกจากร่างกายได้ จึงจำเป็นต้องใช้สารอาหารในรูปของของเหลว เพราะร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วนั้นเอง ซึ่งเราก็ใช้ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด (Multi Fruit Enzyme) ในการดูแลฟื้นฟูร่างกายของผู้ที่เป็น โรคภูมิแพ้ โดยมีหลักการดื่ม ดังนี้

1. ทาน น้ำพลังเอนไซม์บำบัด (Multi Fruit Enzyme) ผสมน้ำจางๆ (1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว 250 cc) ทานก่อนอาหารทุกมื้อ เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน กำจัดของเสียและฟื้นฟูในระดับเซลล์

2. ในกรณีที่มีอาการไอ หรือมีเสลด เจ็บคอ คันคอ ให้เตรียม น้ำพลังเอนไซม์ (Multi Fruit Enzyme) ผสมกับน้ำผึ้ง ดังนี้ น้ำพลังเอนไซม์ 1 ส่วน น้ำผึ้ง 1 ส่วน ใส่ในหลอดเล็ก ๆ หรือแก้ว เล็ก ๆ เอาไว้ สำหรับเวลาไอ หรือมีเสลด ให้จิบหรือกลืนลงคอ เพื่อลดอาการคันคอ เจ็บคอ ไอ เสลด เป็นต้น

3. ลดฝุ่นละออง และบรรยากาศในห้องผู้ป่วย ด้วยการนำ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด (Multi Fruit Enzyme) ผสมกับน้ำอุ่น ๆ ในอัตราส่วน 1 : 10 ฉีดพ่น ให้ทั่วห้อง หรือบริเวณใบหน้า เมื่อรู้สึกว่าหายใจไม่ออก เพื่อช่วยสร้างไอออกซิเจน และลดฝุ่นละอองในอากาศ

นอกจากการใช้ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด เพื่อฟื้นฟูเซลล์ และปรับสภาพสิ่งแวดล้อมแล้ว ควรมีการดูแลฟื้นฟูร่างกายด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการใช้อาหารเป็นยาอีกด้วย เช่น


การดื่มนมธัญพืช ก่อนเข้านอน 1 แก้ว หรือใช้ น้ำนมข้าวกล้องผสมธัญพืช ชงดื่มทุกวันก่อนนอนก็ได้ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว


การนอนหลับพักผ่อน ไม่ควรนอนตากแอร์ ตากลม เพราะเป็นตัวการทำให้ปอดชื้น เนื่องจาก รูขุมขนไม่ได้ระบายเหงื่อ และของเสีย หากใส่ถุงเท้านอนจะดีมาก เพราะเป็นการรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกายได้อย่างดี และควรนอนหลับพักผ่อนได้ได้อย่างน้อย 6 -8 ชั่วโมงต่อวัน


การออกกำลังกาย สำหรับ โรคภูมิแพ้ ควรออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที โดยเน้นให้เหงื่อออกบ้าง หรือแช่น้ำอุ่น อบไอน้ำ เป็นต้น
การทำกิจกรรมอดิเรก แนะนำให้ทำสวน หรือ ปลูกต้นไม้ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เพราะการได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ และทำให้เหงื่อออกจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงได้อีกด้วย


เคล็ดไม่ลับ สำหรับผู้ป่วย โรคภูมิแพ้ หลังเวลา 15.00 - 18.00 น. ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง ควรพักผ่อน สบาย ๆ ไม่เครียด หาน้ำสมุนไพรมานั่งจิบ เช่น น้ำชาตะไคร้ น้ำชาขิง น้ำโหระพา เป็นต้น จะช่วยให้กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างดี


ซึ่งหากดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง จนอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ หายไปแล้ว คุณสามารถดำเนินชีวิตประจำวัน เพียงดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด เช้า และเย็น ตลอดจนดื่มน้ำผักปั่นวันละ 2 – 3 แก้ว เพื่อดูแลสุขภาพได้ โดยไม่ต้องทานยาเลยค่ะ (ตู๋ confirm เพราะทดสอบด้วยตนเองแล้ว)

หากมีข้อสงสัยติดต่อสอบถาม คุณตู๋ tusora@gmail.com

7 ธันวาคม 2555

วิธีทานน้ำพลังเอนไซม์บำบัด หรือเอนไซม์เสริมอาหาร

การทานน้ำพลังเอนไซม์บำบัด หรือการทานเอนไซม์เพื่อเสริมอาหาร ต้องกินเท่าไร กินอย่างไร ตอนไหน ทานวันละกี่ครั้ง บ้านรักษ์สุขภาพ ขอแนะนำทานให้เหมาะสมตามแต่จุดประสงค์ดังนี้

ก่อนอื่น ขอแนะนำผลิตภัณฑ์น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ จำหน่ายก่อนว่า เรามีด้วยกัน 3 สูตร ดังนี้

1. สูตร Multi Fruit Enzyme เป็นเครื่องดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด ขนาด 750 มิลลิลิตร ราคา 450 บาท สูตรที่มีผลไม้มากกว่า 20 ชนิดเป็นหลัก ราคาย่อมเยาว์ ดื่มง่าย เหมาะสำหรับผู้ต้องการดูแลสุขภาพ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ท้องผูก โรคเก๊าต์ โรคภูมิแพ้ โรคหอบ (ไม่จัดส่งทางไปรษณีย์เนื่องจากอาจมีการแตกหักเสียหายได้ แต่จัดส่งทางขนส่ง เมื่อสั่ง 6 ขวดขึ้นไป)

2.  สูตร N-2000 เป็นสูตรที่มีผัก ผลไม้ และสมุนไพร สูตรดั้งเดิมของดร.รสสุคนธ์ ชมรมบ้านสุขภาพ ระยอง ขนาด 650 มิลลิลิตร ราคา 500 บาท เหมาะสำหรับผู้ต้องการดูแล ฟื้นฟูสุขภาพโรคมะเร็ง โรคสะเก็ดเงิน โรคเรื้อน โรคอัมพาต โรค อัมพฤกต์ (ไม่จัดส่งทางไปรษณีย์เนื่องจากอาจมีการแตกหักเสียหายได้ แต่จัดส่งทางขนส่ง เมื่อสั่ง 6 ขวดขึ้นไป)

3. สูตร Premuim Fruit Enzyme เป็นเครื่องดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น 5 เท่า (และเป็นหัวเชื้อ) ขนาด 187 มิลลิลิตร ราคา 500 บาท เหมาะสำหรับผู้ป่วยทุกโรค ที่ต้องการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพ และใช้เป็นหัวเชื้อในการหมักทำน้ำพลังเอนไซม์บำบัดรับประทานเองที่บ้าน (ไม่จัดส่งทางไปรษณีย์เนื่องจากอาจมีการแตกหักเสียหายได้ แต่จัดส่งทางขนส่ง เมื่อสั่ง 4 ขวดขึ้นไป)



ปริมาณที่แนะนำของทั้ง 3 สูตร มีดังนี้
สูตร 1 และสูตร 2 ใช้ปริมาณ 1 - 2 ช้อนโต๊ะ (กินข้าว) กับน้ำอุ่น 1 แก้ว (250-300 มล.)
สูตร 3 ใช้ปริมาณ 1 ช้อนชา กับน้ำอุ่น 500-1000 มล. หรือ 1 ขวดน้ำดื่ม
ทั้งนี้ การเพิ่มหรือลดปริมาณขึ้นอยู่กับขนาดของร่างกาย ของเสียในร่างกาย และสภาวะของร่างกายแต่ละคน โดยแนะนำให้เริ่มต้นที่น้อย ๆ ไปก่อน อย่างน้อย 1 อาทิตย์ เมื่อไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น เช่น ปวดศีรษะ มึนหัว ร้อนใน คันตามตัว ก็สามารถเพิ่มปริมาณเอนไซม์ขึ้นได้ ตามต้องการ 

การทานเอนไซม์ควรทานเมื่อไร 
ทั้งนี้จะขึ้นกับจุดประสงค์ของความต้องการทานเอนไซม์เสริมอาหาร และขึ้นกับสภาวะของความรู้สึกไม่สบายของแต่ละท่าน ซึ่งแนะนำดังนี้

1. ถ้าต้องการให้ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เสริมร่างกายให้แข็งแรง ลดอาการเกิดโรคติดเชื้อ ให้รับประทานขณะท้องว่าง หรือ รับประทานก่อนอาหาร 30 - 60 นาที ก่อนมื้ออาหารทุกมื้อ หรือเน้น เช้า และเย็น เป็นหลัก

2. ถ้าต้องการในการช่วยระบบย่อยอาหาร แนะนำให้ทานพร้อมอาหาร หรือใส่เอนไซม์ลงไปในอาหารที่รับประทาน หรือใส่ลงไปน้ำที่เรารับประทานระหว่างทานอาหาร หรือหลังอาหารทันที ก็จะช่วยในการย่อยอาหาร ย่อยไขมัน ลดน้ำหนัก เป็นต้น

3. ถ้าต้องการให้ช่วยในการขจัดของเสียในร่างกาย ย่อยสลายของเสียในกระแสเลือด ให้ผสมดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน โดยใช้ปริมาณแบบเจือจาง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ดีขึ้น โดยความเป็นน้ำอุ่น ถึงน้ำอุณหภูมิห้องเท่านั้น และถ้าเป็นน้ำแร่ ก็จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าตลอดทั้งวันอีกด้วย
การทานเอนไซม์เป็นอาหารเสริม ต้องดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำแร่ อย่างน้อยให้ได้วันละ 1 - 1.5 ลิตรต่อวัน หรือ 8 - 12 แก้ว ต่อวัน เป็นอย่างน้อย เพื่อให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการขจัดของเสีย และทุกครั้งที่ทานน้ำเอนไซม์อย่างลืมต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วตามไปทุกครั้ง

และอย่าลืมว่า "ร่างกายของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน" การทานน้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรที่เหมาะสม และขนาดที่เหมาะสม เราต้องทดลองเอง โดยทุกท่านที่ดื่มควรสังเกตุตัวท่านเองด้วยว่า ความกินเอนไซม์สูตรไหน (แนะนำให้เริ่มจากสูตรที่ 1) และควรทานปริมาณเท่าไร (แนะนำให้เริ่มต้นที่ 1 ช้อน)
โดยตัวทานเองจะสังเกตุได้ว่า มีอาการดีขึ้น ขับถ่ายดีขึ้น หรือตัวเบาขึ้น ทำให้เพิ่มหรือลดปริมาณลงได้ "หมอที่ดีที่สุด ก็คือตัวของท่านเอง"

การทดลองทานน้ำพลังเอนไซม์บำบัด ควรทดลองทานอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 7 - 15 วัน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ และการดื่มน้ำพลังเอนไซม์เพื่อปรับสมดุลของร่างกาย ลดอาการเกิดโรคต่าง ๆ แนะนำให้ทานอย่างต่อเนื่อง 90 - 120 วัน เพื่อให้ครบรอบของการปรับสมดุลและซ่อมแซมสภาพร่างกายครบ 1 รอบ แล้วจะเปลี่ยนสูตรทาน หรือทานต่อเนื่องต่อไปก็สามารถรับประทานได้อย่างไม่เป็นอันตรายค่ะ

ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยหรือติดต่อสั่งซื้อกรุณาสอบถามมาที่ไอดีไลน์ @qwd5997q
-->

2 ธันวาคม 2555

มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนสำหรับน้ำพลังเอนไซม์บำบัด

เนื่องจากมี ผู้สนใจ สอบถามมาจำนวนมากเกี่ยวกับมาตรฐานของ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ของดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ทางบ้านรักษ์สุขภาพ จะขอกล่าวโดยสรุป ดังนี้

ผลิตภัณฑ์น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ทั้ง 3 สูตร ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน น้ำหมักพืช ที่ออกโดยกระทรวงอุตสาหกรม ตามมาตรฐาน มผช. 481/2547

โดยจะกล่าวในที่นี้หลัก ๆ ดังนี้

มาตรฐานที่กำหนด
1. ลักษณะที่ปรากฏ  น้ำน้ำตาลอ่อน ๆ ใส หรืออาจตกตะกอนเมื่อวานทิ้งไว้  มีสี หรือกลิ่นหอมตามธรรมชาติ
2. การปนเปื้อนของแอลกอฮอล์
2.1. มีปริมาณเอทิลแอลกอฮอล์ ไม่เกินร้อยละ 3 โดยปริมาตร (เป็นแอลกอฮอล์จากธรรมชาติ รับประทานได้ ไม่เป็นอันตราย)
2.2  เมทิลแอลกอฮอล์ ต้องไม่เกิน 240 มิลลิกรัมต่อลิตร (เป็นแอลกอฮอล์ชนิดใช้ภายนอก ไม่ควรมีเกินมาตรฐานเพราะจะทำให้เป็นอันตราย)
3. ความเป็นกรด-ด่าง ไม่เกิน 4.3 (ปกติมักอยู่ในช่วง 2 - 4)
4. ไม่มีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ ดังนี้
4.1 ซาลโมเนลลา
4.2. สตาฟิโลค็อกคัส ออเรียส
4.3 คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์
4.4 เอสเธอริเซีย โคไล
4.5 ยีสต์และรา ต้องไม่เกิน 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร (พบได้บ้าง ทำให้เกิดกลิ่นและแอลกอฮอล์)

โดย 4 ข้อ หลัก ๆ นี้ เป็นมาตรฐานเบื้องต้นในการตรวจเพื่อขอมาตรฐาน และมีการสุ่มตรวจทุกปี และต้องทำการต่อมาตรฐานทุก ๆ 3 ปี เป็นต้น

น้ำพลังเอนไซม์บำบัด หรือ น้ำหมักพืช หรือ น้ำหมักชีวภาพสำหรับการบริโภค นั้น ตามหลักวิทยาศาสตร์แพทย์ทางเลือก ได้บ่งบอกประโยชน์ได้ดังนี้

1. ฤทธิ์การเหนี่ยวนำให้เกิดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อบริโภคอย่างต่อเนื่อง ช่วยฟื้นฟู และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ปกป้องร่างกายจากการเกิดอาการของโรคต่าง ๆ ได้มากมาย
2. อุดมไปด้วยสารเปปไทด์และกรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อเซลล์ ในกระบวนการสร้างและซ่อมแซม DNA เซลล์ และเนื้อเยื่อ
3. ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น ลดการเกิดสารพิษหรืออนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้เซลล์อ่อนเยาว์
4. อุดมไปด้วยสารโพลีแซคคาร์ไรด์ ซึ่งเป็นสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ช่วยในระบบขับถ่าย เป็นพลังงานให้ร่างกาย
5. อุดมไปด้วยเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อย และเร่งปฏิกิริยาชีวเคมีต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน เซลล์ฟื้นฟู และลดการสะสมของของเสียในร่างกาย
6. อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ได้จากผลไม้แต่ละชนิด ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แจ่มใส แข็งแรง และอ่อนเยาว์

เมื่อคุณได้อ่านทำความเข้าใจแล้วว่า ผลิตภัณฑ์น้ำหมักพลังเอนไซม์บำบัด ของ บ้านรักษ์สุขภาพ ได้นำมาจำหน่ายนั้น มีมาตรฐาน และความปลอดภัย เพียงพอ ให้คุณบริโภคได้อย่างสบายใจ หมดกังวนค่ะ

สนใจสั่งซื้อ ผลิตภัณฑ์ได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ ซอยลาดปลาเค้า 76 อีเมล์ tusora@gmail.com -->

30 พฤศจิกายน 2555

การสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่าง ๆ

การสังเกต... เป็นหลักการแรกของนักวิทยาศาสตร์ และหลักการแพทย์ทั้งแบบแผนโบราณและแบบแผนปัจจุบัน เป็นการตรวจตราดูแลตนเอง และคนที่รักเพื่อให้มีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดี มีสุข แก้ไขปัญหาของสุขภาพและจิตใจได้ก่อนเกิดความรุนแรงของโรค
วันนี้ทาง บ้านรักษ์สุขภาพ ได้มีโอกาสไปอ่านหนังสือแพทย์ทางเลือกของอาจารย์ท่านหนึ่ง เห็นว่าน่าสนใจมากเลยขออนุญาติในการนำข้อมูลในการสังเกตอาการเบื้องต้นของโรคมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ มาเผยแพร่แก่ผู้เข้าชมเวปไซด์ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ และเป็นกุศลต่อไป

เรามาเรียนรู้ และสังเกตุดูร่างกายของเราไปพร้อม ๆ กันนะค่ะ ว่าเรามีอาการแบบนี้ไหม และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมหรือไม่
เริ่มต้นกันที่ กลุ่มมะเร็งสำหรับผู้หญิงนะค่ะ

1.มะเร็งปากมดลูกอาการ มักมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติ มีเลือดออกนิด ๆ ตลอดเวลา มักมีอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์

หากพบว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาเกิน 2 สัปดาห์ ควรไปพบแพย์ เพื่อทำการตรวจมะเร็งปากมดลูก โดยการขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้อย่างแน่ชัด
2.มะเร็งในมดลูกอาการ มีอาการคือ จะมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง กดเจ็บ หรืออาจไม่เจ็บก็ได้

หากพบว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะถ้าคลำดูแล้วรู้สึกว่ามีก้อน แสดงว่าคุณปล่อยปละละเลยอาการผิดปกตินี้มานานจนก้อนเนื้อใหญ่ขึ้นจนคลำเจอะ ดังนั้นควรไปพบแพทย์แล้วตรวจดูว่าเป็นเนื้อดี หรือเนื้อร้าย เพื่อหาวิธีการรักษาต่อไป

3.มะ เร็งรังไข่ จะมีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ บ้างครั้งมามาก บางครั้งมาน้อย หรือเดือนนี้มีประจำเดือน อีกเดือนอาจไม่มีประจำเดือน หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ และมักมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง เป็นประจำ

หากพบว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องถึง 2 - 3 เดือน คุณควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทันที

4. มะเร็งทรวงอก  มักมีอาการคือ จะมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนม  มีอาการบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียก ว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

ต่อไปจะเป็นกลุ่มมะเร็งที่พบมากนะค่ะ

5.มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) จะมีอาการ เหนื่อยง่าย และมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ เล็บซีด ปากซีด และมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียวง่าย ใช้ระยะเวลานานกว่าจะหาย หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งจะท้องอืด แน่นท้อง และเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

ซึ่งหากพบว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรไปปรึกษาแพทย์และตรวจเลือดทันทีค่ะ

6.มะเร็งปอดอาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หายใจไม่ค่อยออก อึดอัด หายใจไม่เต็มปอด น้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ บางครั้งเจ็บหน้าอก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หากพบอาการผิดปกติเหล่านี้ใน 1 - 2 วัน ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทันทีค่ะ

7.มะเร็งตับ  จะมีอาการปวดในช่องท้องอย่างไม่ทราบสาเหตุ เริ่มเบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง กินไม่อร่อย น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด เนื่องจากน้ำดีถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด

ถ้าพบอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์ทันทีเช่นกันค่ะ

ต่อไปเป็นกลุ่มมะเร็งที่พบได้บ้าง

8.มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ  อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ ปัสสาวะมีสีขุ่น ปัสสาวะไม่ค่อยออก ขัด ๆ อาการอื่น ๆ ไม่ชัดเจนค่ะ

9.มะเร็งสมอง  อาการปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มี อาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย ให้สงสัยว่าอาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ ให้ไปปรึกษาแพทย์ประจำตัวทันที เพื่อตรวจสอบ และติดตามอาการของโรคค่ะ

--> 10.มะเร็งในช่องปากอาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานาน เหมือนแผลร้อนใน แต่นานก็ไม่หายสักที หรือมีอาการแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบทันทีค่ะ

11.มะเร็งในลำคอ  จะมีอาการเสียงแหบพร่าไปทันทีเวลาพูด เหมือนเสียงแหบ ไม่มีเสียง บางครั้งมีก้อนบวมในลำคอทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้ ให้ไปพบแพทย์ทันทีนะค่ะ

12.มะเร็งในกระเพาะอาหาร  สังเกตุจากน้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการอาเจียนออกมาเป็นเลือด ท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย ๆ เจ็บท้อง และรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

13.มะเร็งลำไส้  สังเกตุจาก น้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ร่วมกับมีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสด นั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14.มะเร็งต่อมน้ำเหลือง  มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด

นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างห นึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma ) คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ ควรไปพบแพทย์ที่ปรึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิดค่ะ

28 พฤศจิกายน 2555

การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่าง ๆ ในร่างกาย

การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ในร่างกายเพื่อดูแลและฟื้นฟูไต

          ในร่างกายคนมีน้ำอยู่ประมาณ 65%- 70% ซึ่งร่างกายจะต้องรักษาดุลยภาพนี้ไว้ การรักษาดุลยภาพของน้ำในร่างกายทำได้โดยการควบคุมปริมาตรน้ำที่รับเข้าและที่ขับออกจากร่างกาย ซึ่งมีช่องทางและผ่านกระบวนการต่างๆ

ตาราง แสดงปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับและร่างกายขับออกใน 1 วัน
             ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ                           ปริมาณน้ำที่ร่างกายขับออก
                 1. จากอาหาร 1,000 cm3                              1. ลมหายใจออก 350 cm3
                 2. จากน้ำดื่ม 1,200 cm3                               2. ขับเหงื่อ 500 cm3
                 3. จากปฏิกิริยาในร่างกาย 300 cm3              3. ปัสสาวะ 1,500 cm3
                                                                                      4. อุจจาระ 150 cm3
              รวม 2,500 cm3                                       รวม 2,500 cm3

               ในของเหลวที่ร่างกายรับเข้าและที่ขับออกมานั้น นอกจากจะประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ ยังมีเกลือแร่และสารต่างๆ อยู่ด้วย แม้ว่าสารเหล่านี้จะมีปริมาตรน้อยนิดเมื่อเทียบกับปริมาตรของน้ำ แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง และร่างกายต้องรักษาสมดุลต่างๆ ดังกล่าวไว้ให้ได้เพื่อให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ อวัยวะสำคัญในการรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ในร่างกายคือไต ซึ่งมีโครงสร้างและการทำงานร่วมกับอวัยวะอื่น

ไต (kidney)             โครงสร้างไต ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น หน่วยไต ชั้นนอก เรียกว่า คอร์ดเทกซ์  (cortex)  ชั้นในเรียกว่า เมดัลลา (medulla)  ภายในไตประกอบด้วย หน่วยไต (nephron)   มีลักษณะเป็นท่อขดอยู่หลอดเลือดฝอยเป็นกระจุกอยู่เต็มไปหมด
             ไตมีลักษณะคล้ายถั่ว มีขนาดประมาณ 10 กว้าง 6 เซนติเมตร และหนาประมาณ 3 เซนติเมตร มีสีแดงแกมน้ำตาลมีเยื่อหุ้มบางๆ ไตมี 2 ข้างซ้ายและขวา บริเวณด้านหลังของช่องท้อง ใกล้กระดูกสันหลังบริเวณเอว บริเวณส่วนที่เว้า เป็นกรวยไต มีหลอดไตต่อไปยังมีกระเพาะปัสสาวะ

หน้าที่ของไต
          1. ขับถ่ายของเสีย ซึ่งเกิดจากเมแทบอลิซึมของร่างกาย เช่น ยูเรีย (urea) จากโปรตีน กรดยูริกจากกรดิวคลีอิก ครีเอทินีน (creatinine) จากครีเอทีน (creatine) ในกล้ามเนื้อ
          2. ดูดกลับสารบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น กลูโคส โดยการดูดกลับในขณะอดอาหารไตสามารถสังเคราะห์กลูโคสจากกรดอะมิโนหรือสารอื่นได้ช่วยสร้างน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้มากถึงร้อยละ 20 ของจำนวนน้ำตาลที่สร้างจากตับ
          3. ควบคุมสมดุลน้ำ และอิเล็กโทรไลต์ของร่างกายให้อยู่ในลักษณะที่พอเหมาะ โดยการดูดน้ำกลับที่ท่อหน่วยไตทำให้น้ำปัสสาวะเข้มข้นขึ้นควบคุมการขับถ่ายไอออนต่างๆออกทางน้ำปัสสาวะ เช่น Na+ , K+ เป็นต้นให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม
          4. ควบคุมความเป็นกรดเบสของของเหลวในร่างกายโดยการขับไฮโดรเจนไอออน (H+) เข้าสู่ท่อหน่วยไตและดูดไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน กลับเข้าสู่เลือด
          5. สร้างสารบางชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ฮอร์โมนอิรีโทรเจนีน (erthrogenin) ซึ่งรวมตัวกับโปรตีนโกลบูลินเป็นฮอร์โมนอิรีโทรพอยอิติน (erythropoietin) กระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ไตยังสร้างฮอร์โมนเรนิน (renin) ซึ่งมีผลในการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน (aldosterone) ของต่อมหมวกไตส่วนนอกเพื่อควบคุมการดูดกลับของโซเดียมไอออนที่ท่อหน่วยไตด้วย
          6. ขับสารแปลกปลอมที่ร่างกายรับมาออกจากร่างกายทางปัสสาวะ เช่น ยารักษาโรค สารเคมีในอาหาร

ไตกับการรักษาสมดุลของน้ำ
           ในสภาพที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไปหรือร่างกายขาดน้ำจะมีผลทำให้น้ำในเลือดน้อยหรือแรงดันออสโมติกของเลือดสูง(เลือดมีความเข้มข้นสูง) เลือดที่มีแรงดันออสโมติกสูงนี้เมื่อผ่านเข้าไปที่ไฮโปทาลามัส จะไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนท้ายให้หลั่งฮอร์โมน ADH หรือฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก(antidiuretic hormone) เข้าสู่กระแสเลือด แล้วไปกระตุ้นท่อของหน่วยไตให้ดูดน้ำกลับคืนเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ปริมาณของน้ำในเลือดสูงขึ้น และร่างกายมีการขับถ่ายน้ำปัสสาวะลดลงและเข้มข้นขึ้น

           ในทางตรงข้าม ถ้าเลือดมีปริมาณน้ำมากหรือแรงดันออสโมติกของเลือดต่ำ (เลือดมีความเข้มข้นต่ำ) จะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน ADH ออกมา ท่อของหน่วยไตและท่อรวมจะดูดน้ำกลับคืนน้อยลง ปริมาณน้ำปัสสาวะย่อมมีมากขึ้น ร่างกายจึงขับถ่ายปัสสาวะมากและเจือจางนอกจากนี้ร่างกายมีกลไกที่จะลดการสูญเสียน้ำด้วยกระบวนการดูดกลับที่ท่อของหน่วยไตและมีกลไกที่จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความต้องการน้ำเพื่อรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายโดยเมื่อร่างกายมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกาย มากๆและภาวะขาดน้ำของร่างกายจะไปกระตุ้นศูนย์ควบคุมการกระหายน้ำที่ไฮโพทาลามัส ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกหรืออาการกระหายน้ำขึ้นมาความรู้สึกกระหายน้ำจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ตราบเท่าที่ร่างกายยังมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายเรื่อยๆ

การดูดกลับของสารที่ไตเกิดขึ้นโดยอาศัย 2 กระบวนการ คือ
          - ACTIVE TRANSPORT เป็นการดูดกลับของสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เช่น กลูโคส วิตามิน กรดอะมิโน ฮอร์โมน และอิออนต่างๆ
          - OSMOSIS เป็นการดูดกลับของน้ำ

ดังนั้น การดูแลฟื้นฟูรักษาไต ตามหลักของธรรมชาติบำบัด นั้น จึงมีหลักการง่าย ๆ ดังนี้
1. การดื่มน้ำสะอาด ในปริมาณที่เหมาะสม และอุณหภูมิที่เหมาะสม (35 - 38 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิของร่างกายคือ 36 -37 องศาเซลเซียส)
สูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะกับคุณ   องค์การอนามัยโลกได้กำหนดสูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของ แต่ละคน ใน แต่ละวันไว้ดังนี้ น้ำหนักตัว (ก.ก.)/2 x 2.2 x30 = … C.C. (1000 C.C. = 1 ลิตร, 1 ลิตร = 5 แก้ว)
   สมมติว่ามีน้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม 55/2 x 2.2 x 30 = 1815 C.C. 1815 C.C. = 1.8 ลิตร 1.8 ลิตร = 9 แก้ว เมื่อทราบปริมาณน้ำดื่มต่อวันแล้ว จะต้องมีเทคนิคในการดื่มน้ำให้เกิดประโยชน์กับร่างกายมากที่สุดด้วย เทคนิคง่ายๆ ที่ว่านั้นมีกฏอยู่ 2 ข้อคือ
   กฏข้อ 1. หลังตื่นนอน ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำทันที 2-5 แก้ว เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น ไม่ใช่น้ำเย็น ที่ต้องดื่มตอนเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายขับสารพิษได้ดีที่สุด
  กฎข้อ 2. ดื่มน้ำแต่น้อยระหว่างรับประทานอาหาร ไม่ควรเกิน 1 แก้ว หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาทีจึงค่อยดื่มน้ำตาม เพื่อให้กระเพาะย่อยอาหารได้เต็มที่ ที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะจะไปรบกวนการย่อย

ข้อควรจำ
•    ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบายๆ ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปรกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น หากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก
•    ระยะแรก จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด
•    อย่าดื่มน้ำมากก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหาร ( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร) และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี
•    การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควร อิ่มจนแน่นท้องเกินไปควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง จึงดื่มน้ำตามปรกติ

2. การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโปรตีนสูง หรืออาหารหมักดองเค็ม อาหารรสเค็ม ซีอิ้ว กาแฟ มะเขือเทศ ชา ผักขม แอลกอฮอล์ พริกรสเผ็ดจัด เพราะเป็นอาหารที่ล้วนแล้วแต่ทำให้ไตทำงานหนัก และดูดน้ำจากไต ทำให้เซลล์ไตอ่อนแอ
3. ปรับอารมณ์ให้ดี ไม่กังวล หรือวิตกกังวลเกินเหตุ เพราะความกังวลทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่ง และมีผลต่อการทำงานของไต
4. หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ หรืออยู่ในที่เย็นจัด ร้อนจัด เกินไป
5. ทานอาหารเสริมบำรุงไต เช่น น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร Multi fruit Enzyme, วิตามินซี, น้ำผักปั่น (ลดปริมาณมะเขือเทศ), น้ำองุ่นดำ, น้ำกะหล่ำปลี เป็นต้น

16 พฤศจิกายน 2555

เอนไซม์ช่วยให้ร่างกายรักษาตนเองจริงหรือไม่

เอนไซม์ คืออะไร

เอนไซม์ เป็นโปรตีนกลุ่มหนึ่ง ทำหน้าที่ในการเร่งปฏิกิริยาชีวเคมีในร่างกายเรา หากไม่มีเอนไซม์เราก็ไม่สามารถย่อยอาหาร หรือดูดซึมอาหารเข้าสู่เซลล์ได้ เอนไซม์จะทำงานร่วมกับโคเอนไซม์

โคเอนไซม์ คือ วิตามินและเกลือแร่ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการทำปฏิกิริยาต่าง ๆ ในร่างกาย ถ้ามีเอนไซม์แต่ไม่มีวิตามินหรือเกลือแร่ เอนไซม์ก็ทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ หรือมีประสิทธิภาพต่ำ ดังนั้น การเสริมเอนไซม์จึงมักต้องเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุเข้าไปด้วย เพื่อช่วยร่างกายในการปรับสมดุลและรักษาตนเอง

ดร.เอ็ดเวิร์ด โฮเวล นักโภชนาการชาวอเมริกา กล่าวว่า "เอนไซม์คือขุมพลังแห่งชีวิต เอนไซม์ดี ร่างกายก็สุขภาพดี"

การทำงานของเอนไซม์ต่อร่างกายเรา กล่าวรวม ๆ ได้ดังนี้
1. เอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร
2. เอนไซม์ช่วยสลายโมเลกุลของสารพิษ
3. เอนไซม์ช่วยทำความสะอาดเลือด
4. เอนไซม์เสริมสร้างและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
5. เอนไซม์สร้างกล้ามเนื้อ
6. เอนไซม์ช่วยกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอด
7. เอนไซม์ช่วยลดการทำงานของตับอ่อน และอวัยวะอื่น ๆ

เอนไซม์ที่ได้จากอาหาร ผัก ผลไม้ มี 7 ชนิดหลัก คือ
1. ไลเปส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายไขมัน
2. โปรติเอส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายโปรตีน
3. เซลลูเลส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายกากใย
4. อะมิเลส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายแป้ง
5. แลกเทส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายนม
6. ซูเครส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายน้ำตาล
7. มอลเทส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายธัญพืช

ทำไหมเราต้องเสริมเอนไซม์เพื่อสุขภาพของตนเอง
เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้นอวัยวะในการผลิตเอนไซม์ต่าง ๆ จะเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้ร่างกายมีการผลิตเอนไซม์น้อยลง ทำให้เกิดภาวะตกค้างของของเสียในร่างกาย และภาวะเซลล์ต่าง ๆ ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้น ตลอดจน ภาวะทุกขโภชนา การทานอาหารที่ขาดเอนไซม์ หรือมีเอนไซม์น้อย เช่น อาหารที่ปรุงสุกเกินไปเอนไซม์ถูกทำลาย อาหารที่ย่อยสลายยากเช่น เนื้อสัตว์ใหญ่ ตลอดจนอาการของโรคต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการสร้างเอนไซม์ เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคต่อมทอลซิล เป็นต้น
-->

ภาวะการขาดเอนไซม์ หรือเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
1. โรคอ้วน มีการสะสมของไขมันจำนวนมาก เพราะขาดเอนไซม์ในการย่อยสลายไขมัน ตลอดจนขาดการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายนำไขมันสะสมไปใช้
2. โรคเบาหวาน ตับอ่อนไม่สามารถผลิตเอนไซม์ไปย่อยน้ำตาลหรือนำน้ำตาลไปใช้ได้ ทำให้เกิดภาวะสะสมน้ำตาลในกระแสเลือด หรือตับอ่อนเสื่อมสภาพตามกรรมพันธุ์
3. โรคไขมันสูง ร่างกายไม่สามารถนำย่อยสลายไขมัน และนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงานไปใช้ได้ ทำให้เกิดการสะสมไขมันตามส่วนต่าง ๆ และในกระแสเลือด
4. โรคความดันสูง ร่างกายขาดเอนไซม์ ส่งผลให้ของเสียในเลือดตกค้างอยู่มาก เลือดมีภาวะหนืด เหนียว ทำให้หัวใจทำงานหนักทำให้การบีบและคลายตัวของหัวใจผิดปกติ
5. โรคหัวใจ ดังกล่าวข้อ 4
6. โรคอื่น ๆ เป็นต้น

ดังนั้น การเสริมเอนไซม์เพื่อสุขภาพจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยให้ร่างกายรักษาตนเองได้จริง....

หลักการทานเอนไซม์ที่ถูกต้อง
1. การทานก่อนอาหาร ขณะท้องว่าง เอนไซม์ แร่ธาตุ และวิตามิน ในน้ำหมักเอนไซม์บำบัด จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ช่วยในการทำความสะอาดเลือด กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน 
2. การทานพร้อมอาหาร หรือหลังอาหาร เอนไซม์ แร่ธาตุ และวิตามิน จะช่วยในการเร่งปฏิกิริยาการย่อยสลายอาหารในระบบทางเดินอาหาร และช่วยในการดูดซึมอาหารเข้าสู่ร่างกาย

ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า การย่อยอาหารที่สมบูรณ์ (เพราะมีเอนไซม์) ช่วยลดอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง และมีเหตุผล

สนใจเรื่องเอนไซม์เพิ่มเติม ติดต่อสอบถามที่ tusora@hotmail.com 


-->

13 พฤศจิกายน 2555

แนะนำผัก ผลไม้ ป้องกัน โรคมะเร็ง

การรับประทาน ผัก ผลไม้ ป้องกัน มะเร็ง ตามหลักของโภชนาการบำบัด และแพทย์แผนไทย มีการระบุสรรพคุณของ ผัก ผลไม้ ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ไว้ดังนี้

-->
1. อโวคาโด มีสารต้านมะเร็งตับ 
2. บร็อกโคลี่ มีสารลดการเกิดมะเร็งเต้านม
3. กระหล่ำปลี ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง
4. แครอท ลดการเกิดมะเร็งปอด มะเร็งลำคอ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม แต่มีคำเตือนว่าไม่ควรรับประทานเป็นสารสกัด เช่น น้ำสกัดแครอท ติดต่อกันนาน เพราะบางตำราพบว่าเป็นสารก่อมะเร็งตับ 
5. ผักกะหล่ำ ช่วยต้านการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
6. กระเทียม เพิ่มภูมิต้านทานการต่อสู้กับมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร
7. ผลไม้จำพวกส้ม ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม
8. องุ่น ป้องกันการเกิดมะเร็ง
9. ขิง ช่วยป้องกันมะเร็ง
10. เห็ด เพิ่มภูมิคุ้มกัน และลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
11. ถั่ว ลดการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก
12. มะนาว ป้องกันการเกิดมะเร็ง
13. มะละกอ ยับยั้งการเกิดมะเร็งปากมดลูก
14.ถั่วเหลือง ลดการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
15. มะเขือเทศ ช่วยลดการเกิดมะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ 
16. ขมิ้นชั้น ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า มีผัก ผลไม้ หลายชนิดที่ช่วยในการป้องกันมะเร็ง ดังนั้น เราควรเลือกทานอาหาร ที่มี ผัก ผลไม้ ในแต่ละมื้อ เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งนะค่ะ แต่อย่าลืมว่า เราก็ไม่ควรทานอาหารอย่างใด อย่างหนึ่งเป็นประจำมากจนเกินไป เพราะร่างกายอาจย่อยไม่ได้ และเหลือเป็นของเสียตกค้างในร่างกาย จนทำให้เกิดเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุดนะค่ะ 

ดังนั้น การเลือกบริโภคอาหารแต่เพียงพอ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป จึงเป็นหลักการดูแลป้องกันร่างกายให้ปราศจากโรคได้ดีที่สุด ตามแนวทางของแพทย์ทางเลือกค่ะ

30 ตุลาคม 2555

เครื่องดื่มบำรุงประสาท

สวัสดีค่ะ วันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ จะมาแนะนำ น้ำผักผลไม้ปั่นสูตรบำรุงประสาท กันนะค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้ว บ้านรักษ์สุขภาพ มักจะแนะนำสูตร น้ำผักปั่นพลังเอนไซม์บำบัด ของดร.รสสุคนธ์ ซึ่ง เป็นสูตรปรับสมดุลย์ และฟื้นฟูระบบทั้ง 5 ของร่างกาย อันได้แก่

1. ระบบดูดซึม
2. ระบบทางเดินหายใจ
3. ระบบหมุนเวียนโลหิต
4. ระบบภูมิคุ้มกัน
5. ระบบต่อมไร้ท่อ

--> ดื่มสด ๆ เป็นประจำทุกวัน ต้านโรค เพิ่มพลัง เพื่มสมรรถภาพทางเพศ ลดไขมันส่วนเกิน ผิวสวย หน้าใส ดูอ่อนวัย ดีกับผู้ป่วยทุกโรค (สามารถดูสูตรได้ที่ น้ำผักปั่นพลังเอนไซม์บำบัด นี้นะค่ะ)

ส่วนน้ำผักผลไม้ปั่นสูตรบำรุงประสาท ช่วยคลายความเครียด ลดความวิตกกังวล ทำให้นอนหลับสนิท ช่วยในการขับถ่าย ต้านความชรา และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ความจำเสื่อมก่อนวัย

น้ำผักผลไม้ปั่นสูตรบำรุงประสาท 
ส่วนประกอบ
1. ผักกาดหอม 3 ใบ
2. ต้นถั่วลันเตางอก  1 ถ้วยตวง (แกะเอาเปลือกหุ้มเมล็ดออกให้หมด)
3. องุ่นแดง 6 ลูก
4. กล้วยหอม  ครึ่งผล
5. ผงสาหร่ายเกลียวทอง เล็กน้อย (หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป)
6. น้ำดื่ม 300 มิลลิลิตร

วิธีทำ
1. ล้างส่วนประกอบข้อ 1-3 ให้สะอาด ด้วยน้ำไหลผ่าน แล้วแช่ในน้ำผสมน้ำเอนไซม์แช่ล้างผัก นาน 10 นาที แล้วยกขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
2. หั่น ผักกาดหอม องุ่น ใส่ลงในโถปั่น เติมน้ำดื่ม และผงสาหร่าย ปั่นด้วยความเร็วสูง นาน 1 นาที 
3. แล้วเติมกล้วยหอมที่หั่นแล้ว กับต้นถั่วลันเตางอก น้ำผึ้งดอกไม้ป่า และ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ลงไป ปั่นนาน 10 วินาที แล้วยกลงพร้อมเสริฟ
4. ดื่มให้หมดทันที เพื่อให้ได้คุณค่าสูงสุด

ดื่มได้เป็นประจำทุกวัน ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดความเครียด ทำให้นอนหลับสบาย แนะนำให้ดื่มก่อนอาหารเย็น 1 ชั่วโมง (ไม่ควรดื่มก่อนนอน เพราะอาจทำให้ท้องอืด แน่นท้อง อึดอัดได้)

สูตรน้ำผักผลไม้ปั่นบำรุงประสาท สูตรนี้ เหมาะสำหรับคนที่ทำงานหนัก มีภาวะเคร่งเครียด นอนไม่หลับ มีภาวะหลอดเลือดแข็งตัว มือชา เท้าชา โรคอัลไซเมอร์ โรคพาสคินสัน เป็นต้น 

ลองไปทำดื่มดูกันนะค่ะ หากมีปัญหาสงสัยให้อีเมล์สอบถามได้ที่ tusora@hotmail.com ค่ะ

29 ตุลาคม 2555

การรักษา หวัด ภูมิแพ้อากาศ ด้วยวิธีธรรมชาติ

โรคหวัด และ โรคภูมิแพ้อากาศ เป็นโรคฮิตของคนเมือง โดยเฉพาะเด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ใส่ใจสุขภาพแบบดิฉัน ....

สมัยเด็กเมื่ออากาศเปลี่ยน โดยฝุ่น ละอองฝน หรือฝุ่นช็อก นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ก่อให้ ดิฉัน เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลทันที แต่มาด้วยอาการเจ็บคอ และมีไข้ ไปหาคุณหมอ คุณหมอจะให้ ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ มาทาน เมื่อทานครบ พอไปเจอะกับเหตุการณ์แบบนี้อีก ก็เป็นอีกซ้ำไปซ้ำมา ทุกวัน

เมื่อดิฉันโตขึ้นมา ก็ได้อ่านและศึกษาเกี่ยวกับ ภาวะการเกิดโรคหวัด และโรคภูมิแพ้อากาศ ก็ได้ตระหนักว่า คนเราสามารถแพ้สิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่า 200 ชนิด และเจ้าเชื้อไข้หวัดก็มีมากมายหลายหลายสายพันธุ์และกระจายอยู่ทั้งในอากาศและในร่างกายของเรา รอวันที่ ร่างกายอ่อนแอ หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ก็แสดงอาการโรคขึ้น เราหลีกหนีไม่ได้ แต่เราป้องกันได้ค่ะ เราสามารถปลอดจากโรคหวัด และโรคภูมิแพ้อากาศได้ง่าย ๆ ด้วยการ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง เป็นเกราะป้องกันไม่ได้เราเป็นโรคพวกนี้ได้ค่ะ

และ ดิฉัน ยังอ่านเจอะอีกด้วยว่า การรักษาแบบธรรมชาติบำบัด นั้นเป็นการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความสมดุลของร่างกาย ทำให้ร่างกายเรารักษาและปกป้องตัวเราเองจากโรคภัยต่าง ๆ แต่ต้องใช้เวลาและความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของระบบร่างกาย ที่จะมีการขับของเสีย ต่อสู้กับเชื้อโรค และการทำลายสิ่งแปลกปลอมของร่างกายออกไป เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติ

การกินยาในยุคปัจจุบัน เป็นการระงับการต่อสู้หรือทำลายสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับของเสียหรือสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายได้ เช่น

การเกิดอาการไข้ ตัวร้อน เพราะระบบภูมิคุ้มกัน กำลังทำลายเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคอ่อนแอ ไม่สามารถทำงานได้ เพื่อกำจัดเชื้อไวรัสออกจากร่างกาย แต่เรากลับ ทานยาแก้ไข เพื่อให้ความร้อนลดลง จริง ๆ แล้ว ถ้ามีอาการไข้ไม่สูง ให้ใช้วิธีการดื่มน้ำบ่อย ๆ และเช็ดตัวเอาก็ได้ ซึ่งเมื่อเกิดความร้อนขึ้น ร่างกายจะมีการระบายโดยระบบธรรมชาติคือ การเกิดเหงื่อไหล สักพักเหงื่อออกแล้ว ไข้จะลด และหายเองได้ หรือแช่ตัวในน้ำอุ่น ๆ ผสมเกลือ เพื่อระบายความร้อนออก เป็นต้น

การเกิดน้ำมูกไหล เป็นการขจัดเศษของเซลล์ และเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมออกทางระบบทางเดินหายใจ เมื่อเราทานยาแก้แพ้เข้าไป หยุดกระบวนการนี้ ทำให้สเลด หรือเศษของเชื้อโรคตกค้างในระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้ เราสามารถช่วยร่างกายให้ขับของเสียออกทางน้ำมูกได้ด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น ดื่มน้ำอุ่น จิบน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง ช่วยในการขับของเสีย หรือการใช้น้ำเกลือล้างจมูก เป็นต้น

--> อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน เป็นการสร้างเกราะคุ้มกันให้กับตัวเอง ซึ่งเป็นหลักการแรกของ วิธีธรรมชาติบำบัด
เพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรงก่อนเกิดโรค อาหารแนะนำในการเพิ่มภูมิคุ้มกันได้แก่

1. การดื่มน้ำผักผลไม้ปั่น เป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 - 2 แก้ว เช้า และเย็น
2. การทานเห็ดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ไม่ว่าจะเป็น ชาเห็ดหอม ซุปเห็ด ยำเห็ด ได้ทั้งนั้น ควรทานให้ได้  4 มื้อต่อสัปดาห์
3. การเสริมวิตามินต่าง ๆ อาจใช้วิธีการดื่มน้ำส้ม วันละ 1 แก้ว หรือทานวิตามินเสริมวันละ 1 เม็ด เป็นต้น
4. การดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด ก่อนอาหารเป็นประจำทุกวัน เพื่อเสริมระบบภูมิต้านทาน เป็นต้น
5. ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 2 - 3 ลิตรต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อการขับของเสียออกจากระบบต่าง ๆ ของร่างกายค่ะ

และอย่าลืมออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงที่อากาศไม่ดีหรืออับชื้น ไม่สูบบุหรี่ หรือดื่มของมึนเมา เพียงเท่านั้น คุณก็จะมีเกราะปกป้องและกันโรคหวัด หรือภูมิแพ้ได้อย่างง่าย ๆ เลยค่ะ

ลองเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพียงไม่นาน คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของต้นเองค่ะ

สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ tusora@hotmail.com

18 ตุลาคม 2555

ทานอาหารรสจัด ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร

" กินอะไรได้อย่างนั้น" คำโบราณ ท่านสอนไว้ คุณรู้ไหมว่าเป็นอย่างไร

วันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ จะมีไขปริศนาความหมายกัน

"กินอะไรได้อย่างนั้น"

--> หากแต่แปลอย่างตรงตัว ก็คือ เมื่อเรารับประทานอาหารอะไรเข้าไป รสชาดอย่างไรเข้าไป ก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายและสุขภาพของเรานั้นเอง

ณ วันนี้ เราจะมาเน้นกันที่ กินรสชาดแบบไหน ส่งผลต่อสุขภาพ และร่างกายเราอย่างไร เรามาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันนะค่ะ

จากตำราของแพทย์แผนโบราณไทย และแพทย์แผนจีนนั้น มีการบันทึกไว้เกี่ยวกับ การทานอาหารตามธาตุ โดยเน้นที่รสชาดของอาหารนั้น ๆ ว่า ทานอาหารรสชาดไหน บำรุงธาตุใด และก่อให้เกิดโทษต่อธาตุใดหากรับประทานมากเกินไป ซึ่งเป็นการเน้นปรับสมดุลของร่างกายให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติสมบูรณ์ด้วยการทานอาหารตามธาตุเจ้าเรือนนั้นเอง ซึ่งเราต้องทราบก่อนว่าเราเป็น ธาตุไหน และควรรับประทานอาหารรสชาดไหน เป็นต้น แต่ในวันนี้ เราจะไม่เน้นถึงเรื่องนั้น

แต่เราจะคำนึงถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยใช้ ข้อความในตำราที่บันทึกไว้ว่า

"ร่างกายของเราต้องการอาหารที่ครบทุกรสชาด แต่ต้องการแค่พอดี ซึ่งความพอดีนั้นใช้รสต่าง ๆ จากธรรมชาติ เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง จึงทำให้เกิดความพอดี และเกิดสมดุลของชีวิต"

ดังนั้น เราจะมาเรียนรู้กันว่า รสชาดอาหารส่งผลต่อร่างกายอย่างไร และโทษของการทานอาหารที่มีรสจัด ก่อผลให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างไร

จากตำราแพทย์แผนไทยจัดแบ่งรสชาดของอาหารไว้ ถึง 8 รสชาด ดังนี้


"ฝาดชอบทางสมาน    หวานซึบซาบไปตามเนื้อ
เมาเบื่อแก้พิษต่าง ๆ       ขมแก้ทางโลหิตและดี
รสมันบำรุงหัวใจ         เค็มซึมซาบตามผิวหนัง
เปรี้ยวแก้ทางเสมหะ            เผ็ดร้อนแก้ทางลม"


ซึ่งการทานรสชาดต่าง ๆ ทั้ง 8 แต่พอดี ก็จะช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย ทำให้ไม่ก่อให้เกิดความผิดปกตของร่างกาย ทำให้ร่างกายทำงานอย่างสมบูรณ์ และแข็งแรงได้

แต่ละ... แต่ถ้าเราชอบทานรสชาดใด รสชาดหนึ่งเป็นประจำ และชอบทานรสจัด ๆ ด้วย เช่น ฉันชอบกินรสเค็มจัด ปรุงด้วยน้ำปลาทุกมื้อ ฉันชอบเปรี้ยวจัด ต้องทานเปรี้ยว ๆ ทุกมื้อไม่ขาด ฉันชอบเผ็ดจัดจ้าน กินได้ทุกมื้อไม่เบื่อ คนเหล่านั้นกำลังทำลายร่างกายและก่อโทษให้กับร่างกายของเขาอย่างไร

ในตำราแพทย์แผนโบราณก็ได้กล่าวไว้เช่นกัน ดังนี้

1. รสเผ็ดจัด  ก่อให้เกิด ความร้อนต่อร่างกาย ก่อความระคายเคือง กัดเซาะทำลายทางเดินอาหาร ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น

2. รสหวานจัด ก่อให้เกิด การแข็งตัวของหลอดเลือด ทำลายตับอ่อน ทำลายอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น

3. รสเค็มจัด ก่อให้เกิด ความเสื่อมของไต ทำลายหัวใจ ทำลายรหัสพันธุกรรม ทำลายภูมิต้านทาน ทำให้เกิดโรคไต โรคหัวใจ โรค SLE เป็นต้น

4. รสมันจัด ก่อให้เกิดความเสื่อมของตับ ทำลายหลอดเลือด ทำลายสมอง ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ ไขมันพอกตับ หลอดเลือดอุดตัน ตีบ โรคเส้นเลือดในสมองแตก เป็นต้น

5. รสเปรี้ยวจัด ก่อให้เกิดการกัดเซาะ ระคายเคือง ทำลายเซลล์ ทำให้ ไฟธาตุกำเริบ ก่อให้เกิดโรคชรา แก่ก่อนไว ท้องเสีย ปวดท้อง โรคกระเพาะ นอนไม่หลับ เป็นต้น

6. รสฝาดจัด ก่อให้เกิดการติดขัดของการไหลเวียน ทำให้ฝึด คอแห้ง ทำให้เกิดโรคท้องผูก เจ็บคอ นิ่ว เป็นต้น

7. รสขมจัด ก่อให้เกิดการเสื่อมของเซลล์หัวใจ ทำลายระบบประสาท ทำให้ไฟธาตุกำเริบ หรืออาจทำให้ไฟธาตุดับ เกิดอาการตัวเย็น มือเย็น หนาวง่าย หัวใจล้มเหลว ความจำเสื่อม เป็นต้น

ส่วน รสเมาเบื่อ ไม่ได้กล่าวถึง เพราะปกติจะใช้ในทางยา รักษาโรค และยาพิษ ซึ่งไม่ได้ใช้ในอาหารในชีวิตประจำวัน นอกจากคุณจะได้รับการวางยาพิษ ก็ตายสถานเดียว หรือได้รับยาสมุนไพรที่ปรุงด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ตายเช่นกัน

เมื่อเรารู้แบบนี้แล้ว การรับประทานอาหารในครั้งต่อไป เราควรคำนึงถึงสุขภาพร่างกาย นอกจากความชอบ แลความเคยชินของปากได้แล้ว

และหวังว่า อาหารจานต่อไปของคุณ จะปรุงแต่งรสชาดแต่พอดี อย่าให้หนักรสจัดไปทางใดทางหนึ่ง เพื่อสุขภาพชีวิตที่ดีของคุณ

ด้วยรักและหวังดี
จากบ้านรักษ์สุขภาพ

15 ตุลาคม 2555

เซลล์และเอนไซม์ (Enzyme & Cell)

คุณรู้ไหมว่า ร่างกายของเราประกอบด้วยหน่วยเล็ก ๆ จำนวนมากมาย กว่า 80 ล้านล้านหน่วย เราเรียกหน่วยเล็ก ๆ นั้นว่า เซลล์ กลุ่มของเซลล์มาอยู่รวมกันเรียกว่า เนื่อเยื่อ กลุ่มของเนื่อเยื่อมาอยู่รวมกัน เรียกว่า อวัยวะ และแต่ละอวัยวะมาประกอบกัน รวมเป็น ร่างกาย ดังนั้น หากร่างกายเราเกิดการเจ็บป่วย หากมองกลับไปแล้วจะพบว่า เซลล์นั้นอ่อนแอ และไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถดำเนินปฏิกิริยาทางชีวเคมีได้อย่างปกติ จึงไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้

การที่เซลล์เสื่อม หรืออ่อนแอลงนั้น เนื่องจากมีของเสีย หรือสารอาหารสะสมในร่างกายมากเกินไป ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับเซลล์ได้ ทำให้ตับ และอวัยวะต่างๆ ทำงานหนัก ก่อให้เกิดความอ่อนแอ และเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต ฯลฯ

อีกทั้ง ของเสีย หรือ สารพิษ จุลินทรีย์ แบคทีเรีย เชื้อรา ที่ปะปนมากับอาหารต่าง ๆ รวมทั้งสารเคมีที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน และในสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดการตกค้างในร่างกาย ทั้งเกิดเป็น สารอนุมูลอิสระ และโลหะหนัก ในร่างกาย ซึ่งไปขัดขวางการทำงานของเซลล์ และทำลายเซลล์ ทำให้เซลล์อายุสั้นลง และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดการอ่อนแอ และเกิดโรคขึ้นมา

เอนไซม์ (Enzyme) คือ กลุ่มของโปรตีนที่ทำหน้าที่ เสมือนเป็น "จุดกำเนิดพลังงานของเซลล์ชีวิต" มีหน้าที่ ในการสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เอนไซม์ ช่วยย่อยอาหารเพื่อให้ได้สารอาหารไปทำประโยชน์กับอวัยวะต่างๆ อีกทั้ง เอนไซม์ สามารถกำจัดของเสียในร่างกาย เป็นตัวทำให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายทำงานตามปกติ ถ้าระดับของ เอนไซม์ ในร่างกายลดต่ำลงจนถึงระดับหนึ่ง จะทำให้ระบบต่างๆทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งทางการแพทย์ทางเลือก จะเรียก โรคที่เกิดจากภาวะพร่องเอนไซม์นี้ว่า โรคเสื่อม

enzyme  
สาเหตุที่ทำให้เราเกิดภาวะพร่องเอนไซม์
๑. ขาดการออกกำลังกาย
๒. อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะเป็นพิษ
๓. มีความเครียดทั้งร่างกาย และจิตใจ
๔. ดื่มสุรา อาหาร หรือน้ำไม่สะอาด
๕. นอนดึก พักผ่อนนอน
๖. กินอาหารปรุงสำเร็จ หรืออาหารแช่แข็ง เป็นประจำ ซึ่งเอนไซม์ในอาหารถูกทำลายไปจนแทบไม่เหลือ
๗. ไม่รับประทานผัก ผลไม้ สด หรือรับประทานน้อย
๘. ขับถ่ายไม่ปกติ ไม่ขับถ่ายทุกวัน ทำให้เกิดของเสียในร่างกายมาก จนตับอ่อนแอ ไม่สามารถผลิตเอนไซม์ได้
๙. อายุ และพันธุกรรม อายุมากขึ้นการผลิตเอนไซม์ลดลง และพันธุกรรมของโรคบางอย่างทำให้ การผลิตเอนไซม์ผิดปกติ เช่น เบาหวาน ไขมันสูง

แนวการดูแลสุขภาพของแพทย์ทางเลือก เพื่อลดภาวะพร่องเอนไซม์ มีดังนี้
การเสริมเอนไซม์ในชีวิตประจำวัน โดยเอนไซม์ที่ควรจะเสริมจะมีคุณสมบัติ ดังนี้
๑. เอนไซม์ ในการย่อยอาหาร (Digestive Enzyme) และช่วยทำปฏิกิริยาเคมีในทุกเซลล์ของร่างกาย
๒. เอนไซม์ ในการช่วยย่อยสารอาหารที่ตกค้างในร่างกาย (Metabolic Enzyme)
๓. เอนไซม์ ในช่วยกำจัดของเสียหรือสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย (Toxin Killer)
๔. เอนไซม์ ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งในการเจริญเติบโตเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรค (Antibiotic)
๕. และเสริมสารอาหาร ที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เพื่อลดสาเหตุของการชำรุดของเซลล์ ทำให้กระบวนการทางชีวเคมีต่างๆในร่างกายของมนุษย์สมบูรณ์ ร่างกายจึงแข็งแรง
แพทย์ทางเลือก กล่าวว่า "เหตุผลสำคัญที่คนเราจำเป็นต้องรัปประทานเอ็นไซม์เสริมนั้น เพราะ....
  • ร่างกายผลิตเอนไซม์ได้น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น
  • การปรุงอาหาร ต้องใช้ความร้อนสูงเกิน 47.2 C การใช้รังสีถนอมอาหาร การใส่สารกันเสีย การบรรจุกระป๋อง ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำลายเอนไซม์ในอาหารไปได้ทั้งสิ้น
  • มีตัวยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อยู่ในอาหารตามธรรมชาติเป็นจำนวนมาก เช่น ยอดผัก หรือ ผลไม้ที่ยังอ่อน จะเป็นกลุ่มที่มีตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์อยู่มาก
  • การทำงานหนัก การพักผ่อนน้อย การออกกำลังกายมากเกินไป การอดอาหารเพื่อลดความอ้วน เป็นการเร่งเอนไซม์ให้ทำปฎิกิริยาทางเคมี ทำให้เอนไซม์ที่สะสมไว้ขาดแคลน
  • มลภาวะและสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบันมีสารเคมีที่เป็นพิษมากมายในชีวิตประจำวัน
ดังนั้น การเสริมเอนไซม์จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง สำหรับผู้ต้องการดูแล หรือ ฟื้นฟูสุขภาพ ของท่าน อ่านเพิ่มเติม เรื่อง น้ำพลังเอนไซม์บำบัด เป็นน้ำหมักจากผลไม้และน้ำผึ้ง ไม่ใช่ยา แต่ช่วยในการเสริมสร้าง ฟื้นฟู และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ และแข็งแรง
-->

1 ตุลาคม 2555

น้ำเอนไซม์จากผลไม้สูตรเข้มข้น (หัวเชื้อ)

น้ำเอนไซม์จากผลไม้รวมสูตรเข้มข้น (หัวเชื้อ) (Premium Fruit Enzyme)

สูตรพิเศษ แห่งชมรมบ้าน(รักษ์)สุขภาพ กรุงเทพ

ความเข้มข้นเป็น 5 เท่าของสูตรปกติ Multi fruit enzyme (น้ำพลังเอนไซม์บำบัด) อายุการหมัก 10 ปีขึ้นไป


ขนาด 187 มิลลิลิตร ราคา 500 บาท ไม่รวมค่าจัดส่ง


ประโยชน์

1. สำหรับดื่มเพื่อฟื้นฟูและบำบัดสุขภาพ สูตรเข้มข้นกว่าสูตรปกติ 5 เท่า เวลาดื่มให้ทานน้ำมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมเอนไซม์และสารอาหารไปใช้ได้ เหมาะสำหรับผู้อยู่ในระหว่างพักฟื้น หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย และต้องการล้างพิษในร่างกาย

2. สำหรับนำไปเป็นหัวเชื้อเพื่อการหมักน้ำผลไม้สำหรับดื่ม โดยใช้ระยะเวลาในการกระตุ้นหัวเชื้อ ด้วยการหมัก 3 เดือน โดยใช้อัตราส่วน น้ำพลังเอนไซม์สูตรเข้มข้น ต่อ น้ำผึ้ง ต่อ น้ำสะอาด เท่ากับ 1 : 1 : 5 ส่วนในปริมาณทั้งหมด 1 - 1.5 ลิตร (อ่านรายละเอียดต่อได้ที่ การหมักหัวเชื้อ)

3. สำหรับล้างพิษโดยการสวนลำไส้ สำหรับผู้ที่เคยสวนลำไส้ด้วยกาแฟ สามารถใช้น้ำพลังเอนไซม์สูตรเข้มข้นในแทนกาแฟ ด้วยอัตราส่วนของน้ำพลังเอนไซม์บำบัด 1 ช้อนโต๊ะ ต่อ น้ำสะอาด 1 ลิตร ซึ่งน้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้นนี้ ไม่ไปทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในลำไส้ อีกทั้งยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์เช่นวิตามินสำหรับดูดซึมกลับไปในร่างกายได้ ทำให้เมื่อสวนลำไส้แล้วไม่อ่อนเพลีย อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อไต หรือคนเป็นโรคหัวใจ (อ่านต่อ เรื่องการสวนลำไส้ด้วยน้ำพลังเอนไซม์สูตรเข้มข้น)

สนใจติดต่อถามรายละเอียดเพิ่มเติม โดยการส่งอีเมล์สอบถามมาได้ที่คุณตู๋ tusora@gmail.com หรือไลน์ tu-bgood

21 กันยายน 2555

น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์กับความงาม


การน้ำน้ำมันเมล็ดอัลมอนด์มาใช้กับความงาม

น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ชนิดสกัดเย็น ทำให้คงคุณค่าของวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระไว้ในน้ำมันที่ได้ ทำให้ได้น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ที่ใส เหลืองเล็กน้อย ไม่มีกลิ่น และมีคุณค่าของวิตามินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง ทาง บ้านรักษ์สุขภาพ ได้มีการนำน้ำมันเมล็ดอัลมอนด์มาเพิ่มคุณค่า ด้วยการเติมวิตามินอีลงไป เป็น น้ำมันอัลมอนด์พลัส ที่มีคุณค่าทางความงามและสุขภาพผิว และผม ได้อย่างวิเศษ และได้มีการนำไปใช้กับผู้ทดลองใช้ 10 ท่าน ให้ผลดีทั้ง 10 ท่าน ทั้งด้าน การบำรุงผิว ลดอาการคัน อาการระคายเคือง โรคผิวหนัง และโรคนิ้วล็อก เป็นต้น

เนื่องจากน้ำมันจากเมล็ดอัลมอนด์ มีสรรพคุณทางด้านเภสัชวิทยา มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย สามารถดูดซึมเข้าสู่ใต้ผิวหนังได้ดี และมีคุณสมบัติที่ดีในการรักษาความชุ่มชื้น สามารถคงความอ่อนเยาว์ ลดความแห้งกร้านได้ จึงมีการนำมาใช้ในเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างแพร่หลาย ทั้งในโลชั่น ครีมทาผิว ครีมปรับสภาพผม แชมพู และเครื่องสำอางอื่นๆ อีกหลายชนิดรวมทั้งใช้ในการผลิตสบู่ด้วย

น้ำมันจากเมล็ดอัลมอนด์สามารถใช้ได้กับผิว ทุกลักษณะ และเนื่องจากมีกรดไขมันชนิดเดียวกับผิวหนัง และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก จึงสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการช่วยชะลอการแก่ก่อนวัย คือสามารถลดรอยเหี่ยวย่น และช่วยทำให้รอยดำใต้ตาลดความเข้มลงด้วย นอกจากนั้นแล้วยังมีคุณสมบัติในการลดการติดเชื้อ ต้านการอักเสบของผิวหนัง ลดอาการผื่นคัน และลดการปวดกล้ามเนื้อได้อีก

--> นอกจากนั้น น้ำมันจากเมล็ดอัลมอนด์ หรือน้ำมันอัลมอนด์พลัส ของ บ้านรักษ์สุขภาพ ยังช่วยเพิ่มความเงางามให้กับเส้นผมได้โดยการเพิ่มการบำรุงให้กับเส้นผม ทำให้เปลือกนอกของเส้นผม (Cuticle) นุ่มลื่น ทำให้เส้นผมมีความแข็งแรงขึ้นและหนาขึ้น และยังทำให้เส้นผมเติบโตได้โดยมีสุขภาพที่ดีและลดอาการหลุดร่วงของเส้นผมได้ด้วย

ดูรายละเอียดของน้ำมันอัลมอนด์พลัสของบ้านรักษ์สุขภาพ ได้ที่นี้ น้ำมันอัลมอนด์พลัส

สนใจติตด่อสั่งซื้อได้ที่ tusora@hotmail.com

9 กันยายน 2555

ระบบภูมิคุ้มกันคืออะไร


--> ระบบภูมิคุ้มกัน คือ กุญแจดอกสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพ โดยจะช่วยในการปกป้องเราจากโรคทุกชนิด ตั้งแต่โรคหวัดจนถึงโรคมะเร็ง นอกจากนั้น ยังสามารถช่วยต่อสู้กับของเสีย และชะบอความชรา ดังนั้น หากเราใช้ชีวิตโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพอันเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การรับประทานอาหาร การอยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่บั่นทอนระบบภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอลง และสิ่งที่ตามมาคือ ทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยต่างได้ง่ายขึ้น

หากจะพูดง่าย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันก็เหมือนกับ ทหารที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอม หรือจะเปรียบเหมือน คนกำจัดขยะ ในร่างกายการเราก็ได้อีกเหมือนกัน ดังนั้น หากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ร่างกายก็ย่อมเกิดโรคภัยต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เป็นโรคโน้นโรคนี่ ป่วยบ่อยๆ ร่างกายอ่อนแอนั้นเอง


ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างไร
ระบบภูมิคุ้มกัน ทำหน้าที่เสมือนกองทัพที่ช่วยปกป้องเราจากศัตรูที่จะเข้ามาทำร้ายร่างกายหรือเซลล์เรา ส่วนใหญ่จะอยู่ในระบบน้ำเหลือง และระบบเลือด โดยจะทำหน้าที่ทำลายแบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอม รวมถึงการกำจัดเนื่อเยื่อหรือเซลล์ที่ตายแล้วออกไปจากร่างกาย ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์เมื่อร่างกายมีความสมดุลของความเป็นกรดด่างในร่างกาย หรือความสมดุลของแบคทีเรียที่ดีและแบคทีเรียก่อโรค ซึ่งแบคทีเรียทั้งสองชนิดจะอยู่กันอย่างสมดุลในลำไส้ ทำให้การย่อยและการดูดซึมอาหารสมบูรณ์ แต่หากแบคทีเรียทั้งสองไม่สมดุลกันจะก่อให้เกิดปัญหาในการย่อย และเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น


ศัตรูของระบบภูมิคุ้มกัน
เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันนั้นต้องการสารอาหารบางประเภทเพื่อช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สารอินเตอร์เฟียรอน ที่เป็นสารต้านไวรัสและมะเร็งที่ถูกขับออกมาโดยเนื้อเยื่อเมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีที่เพียงพอ

ความเครียด การสูบบุหรี หรือการขาดการออกกำลังกาย หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ล้วนก่อให้เกิดความอ่อนแอของระบบภูมิคุ้มกันทั้งสิ้น


ภูมิคุ้มกันต่ำเป็นอย่างไร
ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ หรือด้อยประสิทฺธิภาพจะส่งสัญญาณให้เห็นได้ง่าย ๆ เช่น การที่คนเราป่วยเป็นหวัดบ่อย หรือมีระบบย่อยอาหารผิดปกติ มีอาการปวดเมื่อย ผิวหมองคล้ำ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น


ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน
  1. น้ำผักปั่นพลังเอนไซม์
  2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด
  3. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น
  4. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร N-2000
  5. น้ำนมธัญพืช
  6. น้ำข้าวกล้องผสมธัญพืช
  7. ต้นข้าวสาลีอ่อน Whe Globerry
อาหารบำรุงเม็ดเลือดขาว
    1. ดอกขี้เหล็ก
    2. คะน้า
    3. ผักหวาน
    4. บล็อกโคลี
    5. มะม่วงดิบ
    6. ผักโขม
    7. ชะอม
    8. ผักชี
    9. ดอกกะหล่ำ
    10. มะขามอ่อน
    11. ดอกแค
    12. ผักขึ้นฉ่าย
    วิตามินที่เสริมความแข็งแรงให้กับเม็ดเลือดขาว คือ
    1. วิตามิน A
    2. วิตามิน C
    3. วิตามิน D
    4. วิตามิน E
    5. ธาตุเซเลเนียม
    6. ธาตุแมกนีเซียม
    7. ธาตุสังกะสี
    8. ธาตุทองแดง
    9. ธาตุเหล็ก
    -->

    7 กันยายน 2555

    อ่านก่อนตัดสินใจดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด เพื่อเสริมเอนไซม์

    ทำไหมเราต้องทาน เอนไซม์ เพื่อดูแลสุขภาพ

    เอนไซม์ หรือ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด เป็นเสมือนอาหารเสริม เพิ่ม เอนไซม์ ให้กับร่างกาย หรือช่วยร่างกายในการย่อยสลายอาหาร และน้ำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง ลดการเกิดโรคความเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกาย ตลอดจนฟื้นฟูร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติสุข

    แล้วอาการแบบไหน ที่รู้สึกว่าเราต้องทาน เอนไซม์ เพื่อเสริมสุขภาพ
    อาการที่ท่านน่าจะรู้สึกได้เอง ว่าขาด เอนไซม์ คือ อาการอ่อนเพลียเป็นประจำ ทานอาหารเสร็จแล้วรู้สึกง่วง ไม่มีแรง ท้องผูก ท้องอืด ผายลมมีกลิ่นเหม็นมาก มีกลิ่นปาก เป็นหวัดบ่อย มีอาการคัดจมูกบ่อย ปวดเมื่อยร่างกายบ่อย ๆ น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย เป็นต้น

    อาการเหล่านี้ เป็นอาการเบื้องต้นที่แสดงให้เห็นว่า ร่างกายมีภาวะพร่อง เอนไซม์ จำเป็นต้องทานเอนไซม์เสริมอาหาร เพื่อป้องกันการเสื่อมของร่างกาย และก่อให้เกิดภาวะโรคเรื้อรังในอนาคต

    เมื่อสังเกตุแล้วว่า เรามีอาการต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น เราก็ควรตัดสินใจแล้วว่า ควรดื่ม เอนไซม์ เพื่อเสริมสุขภาพ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งเป็นแหล่งของ เอนไซม์ และสารอาหาร ได้มาจากกระบวนการหมักของผลไม้ สมุนไพร กับน้ำผึ้ง ซึ่ง การหมักเอนไซม์เพื่อการบริโภคนั้น จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาการหมักบ่มตามธรรมชาติ เป็นระยะเวลานานกว่า 6 ปี เพื่อให้ได้ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ที่มีสรรพคุณ ที่สะอาด ปลอดภัย มีเอนไซม์ และสารอาหารที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างสมบูรณ์

    แล้วเราจะเลือกทาน น้ำพลังเอนไซม์บำบัด สูตรไหนดี สำหรับบ้านรักษ์สุขภาพ มีจำหน่ายน้ำพลังเอนไซม์บำบัด 3 สูตร ดังนี้

    1. สูตร Multi Fruit Enzyme เป็นเครื่องดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด ขนาด 750 มิลลิลิตร ราคา 450 บาท สูตรที่มีผลไม้มากกว่า 20 ชนิดเป็นหลัก ราคาย่อมเยาว์ ดื่มง่าย เหมาะสำหรับผู้ต้องการดูแลสุขภาพ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ท้องผูก โรคเก๊าต์ โรคภูมิแพ้ โรคหอบ (ไม่จัดส่งทางไปรษณีย์เนื่องจากอาจมีการแตกหักเสียหายได้ แต่จัดส่งทางขนส่ง เมื่อสั่ง 6 ขวดขึ้นไป)

    2.  สูตร N-2000 เป็นสูตรที่มีผัก ผลไม้ และสมุนไพร สูตรดั้งเดิมของดร.รสสุคนธ์ ชมรมบ้านสุขภาพ ระยอง ขนาด 650 มิลลิลิตร ราคา 500 บาท เหมาะสำหรับผู้ต้องการดูแล ฟื้นฟูสุขภาพโรคมะเร็ง โรคสะเก็ดเงิน โรคเรื้อน โรคอัมพาต โรค อัมพฤกต์ (ไม่จัดส่งทางไปรษณีย์เนื่องจากอาจมีการแตกหักเสียหายได้ แต่จัดส่งทางขนส่ง เมื่อสั่ง 6 ขวดขึ้นไป)

    3. สูตร Premuim Fruit Enzyme เป็นเครื่องดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น 5 เท่า (และเป็นหัวเชื้อ) ขนาด 187 มิลลิลิตร ราคา 500 บาท เหมาะสำหรับผู้ป่วยทุกโรค ที่ต้องการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพ และใช้เป็นหัวเชื้อในการหมักทำน้ำพลังเอนไซม์บำบัดรับประทานเองที่บ้าน

    เมื่อเราทาน น้ำพลังเอนไซม์บำบัด หรือเอนไซม์เสริมเข้าไปแล้ว จะเห็นผลอย่างไร สำหรับช่วงต้นเราจะรับรู้ได้ก็เพียงแต่ว่า ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ระบบขับถ่ายดีขึ้น ไม่ท้องผูก มีแรง สดชื่น นอนหลับสนิท ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เต่งตึงขึ้น สมรรถภาพทางเพศดี โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 1 - 21 วัน แรก เป็นการทาน เอนไซม์ เข้าไปเพื่อให้ทำการย่อยของเสียออก เรียกว่าเป็นการทำความสะอาดสิ่งตกค้างในร่างกาย
    และในช่วง 21 - 42 วันต่อมา เอนไซม์ ที่ทานเสริมเข้าไปนั้นจะเริ่มฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ให้ทำงานเป็นปกติ หลังจาก 42 - 90 วัน ของการทาน เอนไซม์ ร่างกายจะปรับสมดุลย์ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดภาวะการเกิดโรค การติดเชื้อ ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะโรค ร่างกายจะซ่อมแซมต้นเองได้เร็วขึ้น จะระบบวงจรนึ้ เราควรดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด อย่างน้อย 3 เดือน  (90 วัน) เพื่อให้ครบวงจรการปรับสมดุลและฟื้นฟูร่างกาย

    ยิ่งเราทาน น้ำพลังเอนไซม์บำบัด อย่างต่อเนื่อง สภาพร่างกายและชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ระบบภูมิต้านทานโรคจะดีขึ้น ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะโรค ร่างกาย ผิวพรรณ ใบหน้าสดใส เต่งตึง อ่อนวัย

    สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไอดีไลน์ @qwd5997q 

    16 สิงหาคม 2555

    การรักษาอาการต่าง ๆ ด้วยสารอาหาร

    การรักษาอาการต่าง ๆ ด้วยสารอาหาร
    เขียนโดย : ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ เรียบเรียงโดย นาวี มีบรรจง
    4 ก.ค. 2548 เวลา 9.30 น.

    การรักษาอาการต่าง ๆ ด้วยสารอาหารนั้นถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับในกรณีฉุกเฉิน แต่สำหรับการดูแลผู้ป่วยนั้นการให้สารอาหารต่างๆ สลับกับวิธีการที่ผสมผสานกันก็สามารถช่วยผู้ป่วยโดยไม่ต้องพึ่งพายาได้
    1. ถ้าเป็นไข้ตัวร้อน ทานซุปผัก สลับกับน้ำผัก ตามด้วยนมธัญพืช (ให้ทีละน้อย ๆ เช็ดตัวเป็นระยะด้วยน้ำเอนไซม์แช่ผักผสมกับน้ำอุ่น ในอัตราส่วน 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่น 1 ลิตร)
  1. ไข้ในเด็กแรกเกิด ให้แม่เด็กดื่มน้ำผักปั่น 3 แก้วก่อนให้น้ำนม 30 นาที นวดฝ่ามือ ฝ่าเท้าเด็ก

  2. ไข้หนาวลึก ๆ ทานซุปผักร้อน ๆ ตามด้วยนมธัญพืช และน้ำผัก (ไม่เย็น) ทีละน้อย

  3. ท้องเสีย ทานน้ำผักก่อนตามด้วยซุปผัก และนมธัญพืช และดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว เพื่อช่วยในการฆ่าเชื้อในลำไส้

  4. ท้องผูก ทานน้ำผักปั่นแบบเจือจางมาก ๆ ดื่มน้ำเปล่า 8 แก้ว ในตอนเช้า

  5. ไอ, หอบ ให้ (น้ำผึ้ง+กระเทียม+พริกไทย+มะนาว) จิบสลับกับซุปผัก (ใส่สะระแหน่) ตามด้วยน้ำผัก ปั่น และนมธัญพืช

  6. อุบัติเหตุ ให้น้ำผักสลับ กับ(น้ำผึ้ง+กระเทียม+พริกไทย+มะนาว) ตามด้วยซุปผักและนมธัญพืช (กรองก่อน) นวดฝ่ามือ ฝ่าเท้า แผ่นหลัง และศรีษะ

  7. ปวดหัว ให้น้ำผักปั่นก่อน ตามด้วยซุปผักและนมธัญพืช

  8. ปวดหลัง ให้น้ำซุปผักร้อน ๆ ตามด้วยน้ำผัก

  9. อาหารเป็นพิษ ให้น้ำผักก่อน ซุปผักสลับกับ(น้ำผึ้ง+กระเทียม+พริกไทย+มะนาว) ตามด้วย น้ำตะไคร้+ใบมะกรูด+กระเพรา+โหระพาต้มรวมกัน

  10. ขาเคล็ด, ขาแพลง แช่น้ำร้อน (65 องศาเซลเซียส) ที่เติมน้ำเอนไซม์ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนสลับน้ำเย็นอย่างละ 1 นาที ให้น้ำผักปั่นตลอด

  11. หัวโน, แผลปูด ประคบร้อน สลับเย็น ด้วยน้ำผสมน้ำเอนไซม์

  12. เลือดตกยางออก มัดหัวท้ายแผล ให้น้ำผักมาก ๆ คลายมัดเมื่อเห็นอาการคั่งของเลือด ใช้มือกดหัวท้ายแผลให้เจ็บสักครู่ (ถ้ามีเข็มให้ใช้การฝังเข็ม)

  13. เป็นลมอาการช็อค หิ้วแขนขึ้น นวดใต้แขน
  14.  จากชมรมบ้านสุขภาพ
    Source Naturals Daily Essential Enzymes, 500mg, 360 Capsules

    Twinlab Super Enzyme Caps, Maximum Strength, 200 Capsules

    14 สิงหาคม 2555

    ความสัมพันธ์ระบบต่างๆ ของร่างกายกับวินัยชิวิต 10 ประการ

    ความสัมพันธ์ระบบต่างๆ ของร่างกายกับวินัยชิวิต 10 ประการ 
    ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ วันที่ 20 พ.ค. 2549

    ในกรณีของความสัมพันธ์ ของวินัยชิวิต กับระบบโครงสร้างต่าง ๆ ภายในร่างกายท่านจะเห็นได้ว่า ส่วนของสมอง “ สมองเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญที่สุด

    ถ้าเราฟื้นฟูเซลล์ให้มีกระบวนการย่อยตัวของไขมัน หรือ ตัว โพลีเซคาไรด์ ก็คือ กำลังสำรองที่อยู่ในรูปของแป้ง ที่พร้อมจะเป็นทั้งฮอร์โมน ที่พร้อมจะเป็นน้ำเมือกที่ไปห่อหุ้มระบบประสาท และไปดูแลเซลล์สมอง และไขกระดูก ตรงนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นไขมันในร่างกายของเรา 60 % ในรูปแบบของแข็งนะค่ะ จะต้องนำไปซ่อมแซมระบบย่อย เพื่อให้อยู่ในรูปของ “ เล็บ ขน ผม ฟัน หนัง ” เพื่อปลายประสาทเหล่านี้ ยังเป็น ปลายประสาทที่แสดงสัญลักษณ์ความเป็นชีวิตของเซลล์ได้

    ดังนั้นถ้าเล็บขนผมฟันหนังแข็งแรง ให้รู้ว่าคนเหล่านั้นมีภูมิคุ้มกันดีสิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวข้องกับระบบของสมองโดยตรง เพราะถ้าเมื่อใดสมองแสดงอาการผิดปกติ คือ ปวดหัวบ่อย ๆ ปวดต้นคอ ปวดศรีษะ ปวดไหล่

    ตรงนี้เป็นสัญญาณรบกวนด้วยความข้นของเลือด หรือขาดน้ำ หรือ อาหารเป็นพิษแล้วแต่ในขณะที่มันเกิดอาการ เช่นนี้แล้ว เราต้องรู้ว่า ตัวที่ดูดซึมอาหารไปเลี้ยงสมองที่เร็วที่สุดก็คือลำไส้ใหญ่ และที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ การขับถ่ายอุจจาระ นั่นสำคัญมาก

    เพราะว่า “ สฟิงเกอร์ ” ตัวบริเวณที่เรากำลังเลื่อน หรือบีบเอาตัวอุจจาระออกไปนั้นมีส่วนสำคัญในการดูดซึมสารอาหารที่เราเรียกว่า “ โซเดียมไอออน ” หรือ คลอไรด์ไอออน ซึ่งดูแลความแข็งแรงของสมองส่วนกลาง

    สมองส่วนกลาง ก็คือ สมองที่ดูแลสมองส่วนของความจำความจำได้หมายรู้ เป็นส่วนของความเก็บตัวของข้อมูลต่าง ๆ และก็ผ่านข้อมูลไปยังสมองส่วนของ มอเตอร์โซน ก็คือ การขับเคลื่อนกายและก็ตัวด้านหน้าซึ่งเป็นตัวควบคุม หูตาคอจมูกและสมอง

    สมองส่วนด้านหลัง เป็นการควบคุมการรู้สึกตัวตลอดเวลา และไปควบคุมการทำงานของกระดูก และไขกระดูก ในการควบคุมตรงนี้ก็ไม่พ้นระบบของฮอร์โมน

    ซึ่งไขมันที่เปลี่ยนรูปไปเป็นฮอร์โมนซึ่งต้องถูกย่อยโดย น้ำย่อยที่อยู่ในตับอ่อน น้ำย่อยที่อยู่ในตับใหญ่ และน้ำย่อยที่อยู่ในถุงน้ำดี

    3 ออร์แกนนี้สำคัญมาก เพราะฉะนั้น
    • สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ถุงน้ำดี ก็คือ อารมณ์
    • สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ตับอ่อน ก็คือ อากาศที่บริสุทธิ์
    • สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ตับใหญ่ ก็คือ น้ำอาหาร และของเสียที่น้อย......... 
    เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กันทั้งหมดเพราะฉะนั้นคำว่า 10 ประการของวินัยจะไปเกี่ยวข้องกับการพัฒนา 3 อวัยวะเหล่านี้ให้แข็งแรง พร้อมจะไปย่อยไขมัน 60 % ของของแข็งในร่างกายให้เปลี่ยนรูปไปดูแล เล็บขน ผมฟันหนัง นั่นก็คือ ระบบภูมิคุ้มกันของเค้ารมีเต็มสมบูรณ์แบบพอดี แต่ก่อนที่จะเต็มท่านลองดูก่อนซิค่ะว่า สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในยุคปัจจุบันเหล่านี้มันเป็นไปไม่ได้เลยเพราะเหตุว่า


    หนึ่งเราอยู่กับคลื่น ที่เร่งเร้าให้คนของเรารีบและถ้ารีบมาก ๆ มันก็จะ ดีไฮเดชั่นเมื่อรีบแล้วไม่ได้อย่างใจก็ขัดใจเมื่อขัดใจแล้ว เกิดอะไรขึ้นค่ะ !!! ถุงน้ำดีก็เหี่ยว ตับก็ร้อน น้ำก็ลด การดูดซึมของลำไส้ใหญ่ก็จะลดลงนั่นก็เกิดแก๊สในกระเพาะ และก็เกิดตาพร่ามัว ก็เริ่มปวดต้นคอ เริ่มตึงไหล่และเริ่มข้นในระดับที่ ในเลือดนั้นมีน้ำตาลที่จะเป็นน้ำตาลสำรองที่จะเป็นพลังงาน เปลี่ยนรูปมาเป็นกรดเมื่อเลือดมีสภาพเป็นกรดปุ๊บ เชื้อราก็เริ่มทำงานผิดปกติ และเริ่มปรากฏอยู่ตามผิวหนังของเรา และเมื่อใดที่เรากินน้ำน้อยลงไปอีก แถมยังไปกินอาหารที่มีโปรตีนเกิน มีแป้งเกิน และก็จะอยู่ในรูปของกรดที่มีแอมโมเนีย

    ผิวหนังก็เริ่มผุกร่อนและติดเชื้อลุกลามไปถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย ขั้นตอนเหล่านี้เป็นขั้นตอนที่เราต้องระวัง โดยเอาวินัย 10 ประการนี้ ค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพของร่างกายตั้งแต่เริ่มเปลี่ยน pH ของร่างกายโดยการดื่มน้ำ

    การฝึกการหายใจ และการหลับนอน รวมถึงการได้สัดส่วนของอาหารที่พอดี ก็คือ ผักผลไม้ 80 % เนื้อและ แป้ง 20 % และต้องเข้านอนให้ได้เมื่อดวงอาทิตย์ตก เพราะเมื่อดวงอาทิตย์ตก เลือดเริ่มเป็นรูปไปเป็นด่าง อะดรีนารีนด์ลดลง การเผาผลาญอาหารลดลง การดูดซึมลดลง.....

    เพราะฉะนั้นทั้งสามตัวลดลง แต่เรายังไปขับเคลื่อนให้ร่างกายมีสารพิษมากขึ้นโดยการที่เรายังไม่หลับนอนเพื่อให้รางกายได้พัก ร่างกายก็จะเพิ่มสารพิษให้กับตัวเอง

    เพราะฉะนั้นนี่คือที่มา นั่นคือ น้ำ นอนทำสมาธิคือนิ่ง ทำอารมณ์ไม่แปรปรวนตลอดเวลาแต่ปัจจัย 10 ประการ

    นี้เราเขียนเป็นตัวอย่างเพื่อให้ผู้ป่วยเอากลับไปทำที่บ้านก็ได้นะค่ะหรือเป็นใบสั่ง ไปเลยนะค่ะว่าผู้ป่วยต้องทำต่อไปนี้ และเฝ้าตรวจดูพฤติกรรมของเค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามสมมุติฐานที่เราตั้งไว้หรือไม่ เมือเปลี่ยนแปลงได้ผลสัมฤทธิ์ผลถามว่าก่อนหน้าการบำบัดกับหลังการบำบัดนี้เป็นความจำเป็นในการเยียวยาผู้ป่วยในเรื่องของโรคภูมิแพ้ หรือ มะเร็ง ค่ะ

    บทปฏิบัติ 10 ประการ เพื่อบำบัดโรคภูมิแพ้ / มะเร็ง ฯลฯ

    1. ตื่นนอน 04.00 น. เข้าห้องน้ำ
    2. ดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอน 500 cc. (ครึ่งลิตร) เป็นอย่างน้อย
    3. ดื่มน้ำโหระพา 250 cc. เช้า – กลางวัน – เย็น ก่อนอาหารทุกมื้อ
    4. ดื่มน้ำข้าวกล้องธัญพืชผง 250 cc. และอาหารไร้สารพิษ (ผัก ผลไม้ปลอดสารพิษ)
    5. ออกกำลังกาย 05.30 น. – 06.00 น.
    6. รับประทานอาหารเช้า 07.30 น. กลางวัน 11.30 น. เย็น 17.30 น.
    7. ดื่มน้ำทุก ๆ ชั่วโมง 500 cc. เวลา 04.00 น. – 20.00 น.
    8. เข้านอน 21.00 น.
    9. ขับถ่ายอุจจาระเวลา 04.00 น. / ก่อน 06.30 น.
    10. อยู่ในที่อากาศสะอาดมีออกซิเจน 20 % ไนโตรเจน 79 % และอื่นๆ 1 % หรือบริเวณที่โล่ง ใต้ต้นไม้ สนามหญ้า

    ลองปฏิบัติดูนะค่ะ ใส่ใจกับตัวเอง เพื่อลดอาการเจ็บป่วย และป้องกันการเจ็บป่วยได้ค่ะ