google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

31 มีนาคม 2553

คุณค่าทางเภสัชของน้ำผึ้ง

 น้ำผึ้งกับโรคเบาหวาน


ผู้ป่วยโรคเบาหวาน คือ ผู้ที่ตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่ได้ หรือได้น้อยไม่เพียงพอในการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ ทำให้มีปริมาณกลูโคสในกระแสเลือดมากกว่าปกติ โดยปกติคนที่เป็นโรคเบาหวานยังคงต้งอาการพลังงาน ซึ่งน้ำตาลฟรุคโตส ในน้ำผึ้งทดแทนน้ำตาลกลูโคสได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องอาศัยอินซูลินและนอกจากนั้น ยังมีกรดกลูโคโลนิค ซึ่งช่วยให้ตับสามารถทำลายสารพิษตกค้างในตับ สำหรับผูป่วยเบาหวาน ควรรับประทานน้ำผึ้งในปริมาณที่พอเหมาะ คือวันละ 1 –3 ช้อนโตีะ (180 แคลอรี่) พร้อมกับลดการรับประทานอาหารประเภทแป้ง หรือ น้ำตาลประมาณ 10% จะทำให้ผู้ป่วยเบาหวาน มีพลังงานพอเพียงในการดำรงชีวิต และจะฟื้นตัวได้เร็ว และพึ่งพายาควบคุมเบาหวานลดลง
1103
น้ำผึ้งช่วยย่อยอาหารได้อย่างไร?
เมื่อมีอาการท้องอืด เฟ้อ เรอเปรี้ยว เนื่องจากอาหารไม่ย่อยเพราะตับและน้ำดีทำงานผิดปกติ ในน้ำผึ้งมีเอนไซม์หลายชนิดจากกระเพาะของฝึ้งที่สำคัญ คือ อินเวอร์เทส ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนซูโครสให้เป็นกลูโคส และฟรุคโตส (เปลี่ยนไดแซกคาไรด์ให้เป็นโมโนแซกคาไรด์) ซึ่งมีโมเลกุลเล็กลง และเอนไซม์อีกชนิดที่สำคัญ คือ ไดแอสเทส หรือ อะไมเลส ที่ทำหน้าที่ เปลี่ยนโมเลกุลสายยาวของแป้งให้มีโมเลกุลสั้นลง ซึ่งส่งผลให้เปลี่ยนโมเลกุลสายยาวของแป้งให้มีโมเลกุลสั้นลง ซึ่งส่งผลให้ระบบดูดซึมของร่างกายสามารถทำงานได้ดีขึ้น มีน้ำย่อยไขมันและโปรตีน อีกทั้งน้ำที่เป็นส่วนประกอบในน้ำผึ้ง ยังช่วยระบบหมุนเวียนต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น รวมทั้งวิตามินบี 2 มีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบน้ำย่อยในร่างกาย ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ

น้ำผึ้งกับระบบขับถ่าย
ในน้ำผึ้งมีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ คือ มิวซิน จากกระเพาะผึ้ง เด็กทรินและมอลโตส จากดอกไม้ ช่วยหล่อลื่นผิวกระเพาะและลำไส้ได้เป็นอย่างดี ไม่มีสารใดเสมอเหมือน ถ้ารับประทานก่อนนอน จะต้องถ่ายท้องได้ดีในตอนเช้า จำเป็นมากสำหรับผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการปวดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้อีกด้วย
167139

น้ำผึ้งกับแผลเน่าเปื่อยพุพอง
น้ำผึ้งมีสารอินฮิบิน จึงมีฤทธิ์ต้านการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ สามารถลดอาการอักเสบของแผลได้ เนื่องจากทำลายแบคทีเรียที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้แผลอักเสบ มีการใช้น้ำผึ้งตกแต่งบาดแผลตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เช่น ไฟไหม้โดนระเบิดและอาวุธสงคราม เป็นต้น

น้ำผึ้งกับโรคตับ
ในน้ำผึ้งมีวิตามินบีคอมเพล็กซ์และแร่ธาตุ ซึ่งจำเป็นสำหรับตับ และช่วยให้ตับสร้างเอนไซม์ได้ถึง 200 ชนิด และที่สำคัญในน้ำผึ้งยังมีกรดกลูโคนิคที่มีประโยชน์ต่อการ ทำลายพิษในตับ ซึ่งกรดกลูโคนิคจะมีในน้ำผึ้งเท่านั้น ดังนั้น น้ำผึ้งจึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับอย่างยิ่ง โดยเฉพาะโรคตับแข็งหรือตับอักเสบทุกชนิด

น้ำผึ้งกับการนอนหลับ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ หรือผสมน้ำเอนไซม์ 1 ช้อนโต๊ะ ในน้ำอ่น 1 แก้ว ก่อนนอนช่วยคลายเคียด ทำให้หลับสบาย และช่วยให้ถ่ายท้องดีในตอนเช้า

27 มีนาคม 2553

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับน้ำผึ้ง

ประวัติความเป็นมาของน้ำผึ้ง


น้ำผึ้ง มีสรรพคุณใช้เป็ยามาแต่ก่อนสมัยพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณ หลังจากได้ทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยาแล้วกลับมาเสวยกระยาหาร ความสมบูรณ์แห่งพระวรกายยังไม่ฟื้นคืน จนนางสุชาดาได้กวนมฑุปายาส (แปลตามตัวว่า ข้าวอันเกิดจากน้ำผึ้ง) นำมาถวาย เมื่อได้เสวยข้าวมธุปยาสนี้แล้ว ทำให้พระวรกายกลับสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว พระปรีชาญาณก็เกิด สามารถตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ

น้ำผึ้ง เป็นสิ่งพิเศษ มีสรรพคุณมากมาย ให้เป็นยาบำรุงรักษาโรคทั้งภายในและภายนอกได้ ในปัจจุบัน ยังเชื่อกันว่า น้ำผึ้งเป็นยาธรรมชาติที่ยังไม่มียาสมัยใหม่เทียบเท่าได้ น้ำผึ้งใช้ดองของสดกันความเน่าเปื่อย ใช้ปิดแผลสดจะทำให้แผลสะอาดอยู่เสมอ ใช้ในทางศัลยกรรมตกแต่งที่ละเอียดอ่อน เช่น ใบหน้าของผู้หญิง ใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนสร้างผิวหนังให้ผิวหนังที่อักเสบหายเร็วขึ้น และไม่เป็นแผลเป็น
honey1
ชนิดของน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งดอกไม้ป่า ส่วนมากเก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูหนาว ในเดือน ธันวาคม – มกราคม ช่วงเก็บใหม่มีสีเหลืองออกสีน้ำตาลอ่อน ได้มาจากดอกไม้หลายชนิดและจะตกผลึกเวลาอากาศเย็น ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายเนย เรียกว่า “บัตเตอร์ฮันนี่” เมื่อเก็บไว้นานสีจะเข้มข้น ตามวันเวลาที่เก็บ
น้ำผึ้งดอกลิ้นจี่ สีเหลืองอำพัน เก็บไว้นานสีไม่เปลี่ยน รสหวานจัด กลมกล่อม จะตกผลึกถ้าใส่ไว้ในตู้เย็น
น้ำผึ้งดอกลำใย สีน้ำตาลอ่อน เก็บไว้นานสีไม่เหลี่ยน กลิ่นหอมดอกลำใย
ลักษณะของน้ำผึ้งที่ดี
น้ำผึ้ง ที่ดีต้องมีมาตรฐานที่เชื่อถือได้ ในปัจจุบันมีข้อกำหนดในการวิเคราะห์ ทดสอบและระบบประกันคุณภาพ 3 ด้าน คือ
1. ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (Green Products) น้ำผึ้งต้องเป็นน้ำหวานจากดอกไม้มีสี กลิ่น รสจากธรรมชาติ 100%
2. ความสะอาด ถูกหลักอนามัย (Clean Process) น้ำผึ้งต้องมีความสะอาดปราศจากสิ่งปลอมปน มีขึ้นตอนการเก็บและการผลิตที่สะอาดเชื่อถือได้
3. ความปลอดภัยปราศจากสิ่งเป็นพิษภัย  (Safety Products & Process)  น้ำผึ้งต้องปราศจากเชื้อโรคที่มีอันตรายและสารเคมีตกค้าง มีความปลอดภัยในการรับประทานที่ให้หลักประกันได้
บ้านรักษ์สุขภาพ เป็นตัวแทนจำหน่าย น้ำผึ้งดอกไม้ป่าแท้ ความชื้นต่ำ 18% จากโรงงานที่ได้มาตรฐานการผลิต ISO 9001:2000, ISO 14001:2004, GMP, HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตในระดับโรงงานมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก
honey_james_theme     ISO
น้ำผึ้งดอกไม้ป่า ที่บ้านรักษ์สุขภาพจำหน่าย มี 2 ขนาด คือ 1.2 kg และ 7.0 kg. สนใจติดต่อได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้ง
กลูโคส - ฟรุคโตสให้พลังงานบริสุทธิ์แก่ร่างกาย
น้ำตาลกลูโคส หรืเดกซ์โตส และฟรุกโตส หรือลีวูโลส เป็นส่วนประกอบที่โดดเด่นของน้ำผึ้ง และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้น้ำผึ้งมีความหวาน มีคุณสมบัติพิเศษในการดูดซึบความชื้นจากบรรยากาศได้ เป็นแหล่งพลังงานของร่างกายที่บริสุทธิ์ และทำให้น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางกายภาพอื่น ๆ ดังนั้น ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย อ่อนล้า หมดแรงจากการทำงานหนัก หรือผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย ผู้ทีเสียเหงื่อมาก ท้องเสีย หรือาเจียน เมื่อได้รับน้ำผึ้งผสมน้ำเข้าไปแล้วร่างกายจะอบอุ่น และมีเรี่ยวแรงขึ้นทันที
โปรตีนในน้ำผึ้ง
ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบริเวณผิวหนัง จำเป็นต่อการสร้างเอนไซม์ และฮอร์โมนต่าง ๆ เป็นสารสื่อประสาท กรดอะมิโนหน่วยย่อยของโปรตีน จำเป็นต่อการซ่อมแซม ดีเอ็นเอ และการจำลองตัวเองของยีนในโครโมโซม กรดอะมิโนในน้ำผึ้งได้แก่ โปรลีน (Proline) วัดได้สูงถึง 250 mg/kg
แร่ธาตุในน้ำผึ้ง
แคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
โซเดียม และโปแตสเซียม ช่วยปรับสมดุลของน้ำภายนอกและภายในเซลล์ ความเป็นกรดด่างของเลือด การสื่อของเซลล์ประสาท
แมกนีเซียม ทองแดง เหล็ก เป็นส่วนประกอบของฮีโมโกบินในเลือด และช่วยเร่งปฏิกิริยาการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ
สังกะสี เป็นองค์ประกอบในการสังเคราะห์อินซูลินในตับ
วิตามินในน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นแหล่งวิตามินบีคอมเพล็กซ์ อันได้แก่ B1, B2, B3, B5, B6, B7, B9, B12 โดยมีคุณสมบัติในการบำบัดอาการของผู้ป่วยโรคตับ โรคประสาท โรคเลือด ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

24 มีนาคม 2553

เครื่องดื่มไร้พุง สูตรบ้านสุขภาพ ดร.รสสุคนธ์

"ดื่ม 2เดือน ไขมันที่พุงจะหายไป" สูตรบ้านสุขภาพ โดยดร.รสสุคนธ์

ทั้งหมดนี้ปั่นรวมกันจะช่วยฟื้นฟู ตับ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ตับอ่อน ไต การควบคุมอาหารจะเกิดประโยชน์สูงสุด เมื่อพักผ่อนระหว่าง 21.00 - 03.00 น.




1.ผักกาดหอม 2ใบ (กล้ามเนื้อ กระดูกเส้นเอ็น และทำให้ปอดแข็งแรง)

2.ขึ้นฉ่าย 2ก้าน (ช่วยการหมุนเวียนโลหิต และหลอดเลือดแข็งแรง)
3.มะเขือเทศ 1ลูก (เม็ดเลือดแข็งแรง)
4.หอมใหญ่ 1/4ลูก (หัวใจแข็งแรง)
5.มะนาว 1ลูก (ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน)
6.แอปเปิ้ล 1ลูก (ให้พลังงานสำรองม้ามสูงมาก)
7. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด 2 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำเปล่า 2-4แก้ว


นำผลไม้ และผัก มาแช่ในน้ำผสมเอนไซม์แช่ผักนาน 15 - 30 นาที แล้วนำมาหั่น เอาทั้งหมดนี้ปั่นรวมกัน ดื่มทุกวัน ก่อนอาหาร วันละ 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ติดต่อกัน 3 เดือนเห็นผล


หรือเพิ่มประสิทธิภาพการย่อย ด้วยการดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดตามไปอีกหลังอาหารเย็น



อ้างอิงมาจาก บทความของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ได้ทำการทดลองและติดตามผลมากกว่า 3 ปี


ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง


23 มีนาคม 2553

วิตามินซี (Ascorbic acid)

ธรรมชาติของวิตามินซี
  • เมื่อถูกแสงแดดจะมีสีเข้มข้น จากสีขาวเป็นสีเหลืองเข้ม
  • สามารถละลายน้ำได้ดี
  • เมื่อถูกความร้อนหรืออากาศจะทำให้ย่อยสลายได้ง่าย
แหล่งสะสมวิตามินซีในร่างกาย คือ
  1. ที่ต่อมหมวกไต
  2. ที่รังไข่
  3. ที่บริเวณนัยน์ตา
เมื่อร่างกายเกิดความเครียด หรือต้องออกแรงมากจะหลั่งสานนี้ออกมาในกระแสเลือดมาก ทำให้ร่างกายขาดความสมดุล (Homeostasis) ไปทันที
ประโยชน์ของวิตามินซีraw food
  1. มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ใช้ในการสมานบาดแผลเชื่อมประสานกระดูกที่แตกหักให้ติดกัน ช่วยให้หลอดเลือดและเส้นเลือดฝอยแข็งแรง
  2. ช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ White Count มีระดับสูงขึ้น สามารถต่อสู้เซลล์มะเร็งให้ฝ่อหายไปได้
  3. มีส่วนในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  4. มีบทบาทเกี่ยวกับระดับ Sholesterol ในเลือด
  5. ช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งให้ฝ่อหายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์มะเร็งที่เกิดจากสารอาหารจำพวกไนโตรซามิน
สารไนโตรซามินเป็นสารที่เกิดจากเกลือไนโตรทำปฏิกิริยาทางเคมีกับสารบางอย่าง เช่น ในบุหรี่ เบคอน แฮม ไส้กรอก ซึ่งอาหารเหล่านี้ส่วนมากจะใส่สารลงไปในอาหารดังกล่าว เพื่อทำให้เกิดการน่ากิน เช่น อาหารมีสีแดงสด และยังป้องกัน Bacteria อีกด้วย
วิตามินซีจะทำปฏิกิริยากับสารไนโตรท์ในอาหาร โดยการเปลี่ยนสภาพของสารนี้ให้สลายตัวไป
  • ช่วยในการดูดซึมและก่อให้เกิดกระบวนการ Metabolism ของธาตุเหล็กในร่างกาย
  • เป็นสารป้องกันการเกิด Oxidation โดยทำหน้าที่เป็น Anti Oxidation จะทำหน้าที่ในการกำจัดสารก่อมะเร็งและสารอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งในร่างกายให้สูญสลายไป vitaminc
การรับประทานวิตามินซี เพื่อทำการย่อยสลายเซลล์มะเร็ง
        ให้รับประทานวิตามินซีธรรมชาติ ประมาณ 3,000 – 5,000 มิลลิกรัม โดยวิตามินซี 1 เม็ด จะมีขนาด 1,000 มิลลิกรัม ดังนั้นจึงควรรับประทานวันละ 3 เวลา คือ ตอนเช้า ตอนกลางวัน และตอนเย็น ก่อนอาหารครั้งละ 3,000 – 5,000 มิลลิกรัม
        ถ้าปรากฏว่า เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วทำให้เกิดอาการท้องเสียก็ให้ลดลงมาเหลือ 2,000 มิลลิกรัม พอร่างกายแข็งแรงดีและสามารถปรับสภาพความสมดุลของร่างกายได้แล้ว จึงควรเพิ่มขนาดของวิตามินซีให้ถึง 5,000 มิลลิกรัมต่อมื้อ ดังนั้นในวันหนึ่งจึงควรรับประทาน 15,000 มิลลิกรัม นั่นเอง
วิตามินซี ช่วยลดระดับกรดยูริคในเลือด

วิตามินซี จัดเป็นวิตามินที่มีสรรพคุณมากมาย หาได้ง่าย ราคาพูก และรับประทานได้จากผัก ผลไม้หลายชนิด มีการยืนยันทางการแพทย์แล้วว่า วิตามินซี มีบทบาทในเรื่องของผิวพรรณ เช่น ปกป้องผิวจาก UV ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดสะเก็ดหนาของผิวหนังเรื้อนกวาน กำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวขาว สมานแผล ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง
 vitamin-20c
มีรายงานอีกหลายรายงานพบว่า วิตามินซีประมาณ 500 มิลลิกรัม สามารถทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดลดลงได้ ซึ่งลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคเกาต์ และโรคนิ่วในไต จากการทดลองจากอาสาสมัคร 184 คน โดยรับประทานวิตามินซีอย่างต่อเนื่องวันละ 500 มิลลิกรัม เป็นเวลา 2 เดือน พบว่า ค่าระดับยูริคในเลือดลดลง 0.5 มก.ต่อเดซิลิตร

เรียบเรียงโดย นพ. จรีสพล รินทระ

20 มีนาคม 2553

การย่อยสลายเซลล์เนื้องอกร้ายให้ฝ่อหายไป (Endo-Mediosis Disease)

โดย ชมรมผู้รักสุขภาพแบบองค์รวม

หลักการสลายเนื้องอก

  1. เลิกกินอาหารประเภทเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อควาย เครื่องในสัตว์ น้ำมันสัตว์
  2. เลิกกินของหวาน ของเค็ม ของดอง เหล้า เบียร์ บุหรี่ ยาเสพติด และของมึนเมาทุกประเภท
  3. เลิกกินน้ำอัดลม กาแฟ กะทิ นม เนย เบเกอรี่ ครีม ครีมเทียม ช็อกโกแลต นมเปรี้ยว
  4. เลิกกิน อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน อาหารใส่สี ขนมหวาน สารเร่งเนื้อแดง สารเร่งการเติบโต บอแรกซ์ ดินประสิว ลูกชิ้นเด้ง กรอบ สารหนู อื่น ๆ
  5. หลีกเลี่ยงควันพิษจากท่อไอเสีย การพ่นสี กีาซมีเทน ผงชูรส ผงกันบูด ฟอร์มาลีน เป็นต้น
  6. ล้างสวนลำไส้ทุกอาทิตย์ ถ่ายของเสียออกจากร่างกายทุกวันก่อน 7.00 น.
  7. รับประทานน้ำข้าวบริสุทธิ์เป็นอาหารหลัก ผักต้ม ผักดิบ ผลไม้ไม่หวาน และอาหารประเภทธัญพืชต่าง ๆ
  8. รับประทานน้ำนมถั่วเหลือง เต้าหู้ สาหร่ายทะเล
  9. รับประทานน้ำเอนไซม์จากผักผลไม้
  10. รับประทานเมล็ดธัญพืช เพื่อล้างเลือดและไขมันในลำไส้และหลอดเลือดให้สะอาด
  11. รับประทานอาหารบำรุงเม็ดเลือดขาว เพื่อให้ T-cell, B-cell, Lymphocyte, Macophast, Psytotoxin ให้แข็งแรง
  12. รับประทานอาหารสร้าง DNA, RNA เพื่อฟื้นฟูเสริมสร้างเนื้่อเยื่อใหม่
  13. รับประทานวิตามินต่าง ๆ เพื่อเสริมการกรุะตุ้นให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง
  14. รับประทานอาหารและวิตามินเพื่อกำจัดสารก่อมะเร็งให้หมดไป
  15. รับประทานน้ำขิงแก่ น้ำแอปเปิลฐ น้ำบีทรูต, น้ำขึ้นฉ่าย หรือน้ำผักปั่น เป็นประจำ

 

อาหารสำหรับคนสลายเนื้องอก

ในขณะที่ท่านกำลังทำการสลายเนื้องอกให้สูญหายไปจากร่างกาย การรับประทานอาหารในช่วงนี้ต้องงดรับประทานอาหารหลัก 5 หมู่ ตามไปด้วย เพราะไม่ต้องการให้สารก่อมะเร็งหรือสารอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายอีกต่อไป ดังนั้น อาหารที่สมควรรับประทานในเวลานี้คือ

nutrition_side 4_resize

1. อาหารจำพวกโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง เต้าหู้ สาหร่ายทะเล เป็นต้น

2. อาหารคาร์โบไฮเดรต จากข้าวกล้อง ให้รับประทานในรูปของน้ำข้าวกล้องเท่านั้น ไม่สมควรทานข้าวกล้องสวย หรือข้าวกล้องต้ม เพราะร่างกายโดยเฉพาะกระเพาะอาหารจะทำหน้าหนักเกินไป ซึ่งในช่วงนี้ไม่ต้องการให้มีการออกแรงของร่างกายทำอะไร ควรหยุดพักผ่อนจะดีที่สุด

3. อาหารจำพวกพืช ผักสด และผลไม้ ควรรับประทานผักสด ผักต้มให้มาก ๆ และผลไม้ที่ไม่หวาน โดยเฉพาะน้ำคั้นจากผลไม้สด น้ำผักผลไม้ปั่น  (ถ้าอยู่ในช่วงแรก แนะนำให้กรองทานแต่น้ำ แยกกากออกไป แต่ถ้าร่างกายแข็งแรงขึ้น ให้ทานทั้งน้ำและกากผสมกันจะช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้ดีขึ้น) เป็นต้น

4. อาหารจำพวกไขมัน ควรรับประทานอาหารจำพวกปลาที่ให้กรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ปลาทู ปลาข้างเหลือง ปลาลิ้นหมา โดยเอามานึ่ง หรือต้มยำก็ได้ หรือจะใส่นึ่งซี้อิ้วก็ได้

5. น้ำ ควรรับประทานน้ำสะอาด วันละประมาณ 8 แก้ว เพื่อให้เพียงพอต่อการขับของเสียออกจากร่างกาย

6. ดื่มน้ำเอนไซม์เป็นประจำทุกวัน ทั้งเอนไซม์จากผลไม้ ผัก หรือสมุนไพร เพื่อช่วยย่อยสลายของเสียออกจากเลือดและระบบทางเดินอาหาร

ซึ่งอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ไม่ทำให้ร่างกายเหนื่อยอ่อน หรือเพลียแต่อย่างไร จึงทำให้ร่างกายได้พักผ่อน และเม็ดเลือดขาวทำงานในการสลายเซลล์มะเร็งได้อย่างเต็มที


18 มีนาคม 2553

การดูแลฟื้นฟูสุขภาพในแนวธรรมชาติบำบัดสไตส์ดร.รสสุคนธ์

ท่านดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ แห่งชมรมบ้านสุขภาพ จังหวัดระยอง มีจุดมุ่งหมายในการเผยแพร่ความรู้ในการดูแลสุขภาพแนวธรรมชาติบำบัด ตลอดจนการดูแลธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ด้วยการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และใช้ธรรมชาติในการดูแลฟื้นฟูสุขภาพและชีวิต

การใช้น้ำหมักผลไม้หรือน้ำหมักพลังเอนไซม์บำบัด ในการดูแลสุขภาพ มิใช่แนวทางหลักเพียงอย่างเดียวในการดูแลฟื้นฟูสุขภาพของท่าน แต่ท่านสอนให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยขยะ อากาศไม่บริสุทธิ์ให้กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ด้วยการทำน้ำหมักขยะเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ภายในบ้าน ลดปริมาณขยะ เพิ่มโอโซนให้บรรยากาศ ลดการสัมผัสหรือใช้สารเคมีในชีวิตประจำวัน ตลอดจนสอนการบริโภคอาหารเป็นยา การใช้อาหารในการฟื้นฟูสุขภาพ ป้องกันสุขภาพ และดูแลเซลล์ของร่างกาย

สรุปคือ แนวทางที่ท่านสอนให้ชมรมเผยแพร่จึงเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่เราต้องเริ่มด้วยตนเอง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ต้องทำให้ครบทั้ง 6 อย่าง ดังนี้
  1. บัญญัติ 10 ประการ (สำคัญในเรื่องปรับร่างกายให้เป็นธรรมชาติในการฟื้นฟูตัวเอง) เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เพื่อลดการสะสมสารพิษในร่างกาย 
  2. น้ำผักปั่น (ช่วยให้สารอาหารแก่ร่างกายในการซ่อมแซมเซลล์) เป็นหลักทางโภชนาการบำบัด การใช้อาหารเป็นยา
  3. น้ำโหระพา (ช่วยทำให้เลือดเป็นด่าง ช่วยในการขับพิษ ไตทำงานดีขึ้น) การใช้อาหารเป็นยา
  4. น้ำพลังเอ็นไซม์บำบัด (Multi Fruit Enzyme) (ช่วยย่อย ทาน 1 ชต. ผสมกับน้ำ 2-3 เวลา และช่วยปรับสมดุลในระดับเซลล์ เพิ่มออกซิเจน เพิ่มขจัดเซลล์ตาย ทานแบบเจือจาง 1ชต.ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ซึ่งผสมน้ำโหระพอได้ไปทีเดียวก็ดี) เป็นโภชนาการบำบัด การฟื้นฟูสุขภาพกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  5. น้ำนมธัญพืช (ช่วยกระดูก ฮอร์โมน ไขข้อ) เป็นโภชนาการบำบัด
  6. การใช้น้ำหมักขยะที่ครบอายุ ในครัวเรือน เพื่อลดการใช้สารเคมีในบ้าน และลดการสัมผัสกับสารเคมี  

จาก 6 ข้อข้างต้น จะเห็นว่า หลักโภชนาการบำบัด การทานอาหารเป็นยา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพในแนวธรรมชาติบำบัด

จะเห็นได้ว่า เมื่อเราทำการหมักจะมีโอโซนเกิดขึ้นบริเวณรอบ ๆ ถัง เป็นการเพิ่มบรรยากาศที่ดีให้กับสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของเราเองด้วยค่ะ

เรียนรู็เรื่อง ธรรมชาติบำบัด หรือการแพทย์ทางเลือกได้ที่ หนังสือแพทย์ทางเลือกเล่ม 1 และเล่ม 2 สั่งซื้อได้ที่ คุณตู๋ tusora@gmail.com ค่ะ

12 มีนาคม 2553

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดอัมพาตและการดูแลป้องกัน

โรคอัมพาต คือ การเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้แบบถาวร ส่วนอัมพฤกษ์ คือ การเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้แบบชั่วคราว แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นอัมพาต หรืออัมพฤกษ์ การดูแลป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพก็ช่วยให้ผู้ป่วยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้

โรคอัมพาต เราแบ่งปัจจัยเสี่ยงออกเป็นสามชนิดคือ
  1. ปัจจัยเสี่ยงแน่ชัดที่ปรับเปลี่ยนได้ 
  2. ปัจจัยเสี่ยงไม่แน่ชัดที่ปรับเปลี่ยนได้ 
  3. ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้
หากสามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงได้ก็สามารถป้องกันโรคอัมพาตได้ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่

ปัจจัยเสี่ยงแน่ชัดที่ปรับเปลี่ยนได้
  • ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยอัมพาต 40%เกิดจากความดันโลหิตสูงให้คุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/85 มม.ปรอท แรงดันที่มากกว่า 160/90 จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองหลักในการคุมความดันโลหิตเบื้องต้นประกอบไปด้วย การคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการลดน้ำหนัก 
  • การสูบบุหรี่ ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งเร็วขึ้น สารนิโคตินในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดแดงเกร็งลดความยืดหยุ่นของเส้นเลือด เพิ่มระดับ fibrinogenและการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ลด HDL หัวใจทำงานมากขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น coในบุหรี่จะแย่งoxygen ทำให้หัวใจต้องทำงานเพิ่มขึ้นหากหยุดสูบบุหรี่วันนี้ก็ทำให้ความเสี่ยงลดลงวันนี้ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ร่วมกับการกินยาคุมกำเนิดทำให้ปัจจัยเสี่ยงโรคอัมพาตเพิ่ม ข้อแนะนำให้เลิกสูบบุหรี่
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจวาย ลิ้นหัวใจตีบ หัวใจเต้นผิดปกติ atrial fibrillation เป็นการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติไม่สม่ำเสมอ เลือดไม่ถูกสูบฉีดออกไปทำให้กลายเป็นลิ่มเลือดในหัวใจ แพทย์จะทราบจากการจับชีพขจร และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG ผู้ป่วยเหล่านี้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจและสามารถหลุดลอยไปสมองได้ แพทย์อาจให้ warfarin เพื่อป้องกันลิ่มเลือดแข็งตัว
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูงทำให้เพิ่มโอกาสเกิดโรคอัมพาตมีอัตราเสี่ยงต่อโรคเป็น 2-4 เท่าของคนปกติการรักษาเบื้องตนคือการคุมอาหาร การออกกำลังกาย และลดน้ำหนัก
  • ไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะ Cholesterol และ LDL Cholesterol การควบคุมประกอบด้วยการคุมอาหาร ออกกำลังกายและการใช้ยา 
  • ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดแดงแข็ง  atherosclerosis โดยเฉพาะหลอดเลือด Carotid artery disease เป็นเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหากมีลิ่มเลือดหลุดลอยไปอุดสมอง ทำให้เกิดโรคอัมพาตพบว่าผู้ชายจะมีโอกาสเป็นร้อยละ 7-10 ส่วนผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นร้อยละ 5-7 เมืออายุเกิน 65 ปี
  • ผู้สูงอายุกับอุบัติเหตุ การลื่นหกล้ม ความประมาท ความเสี่ยงของการเคลื่อนไหว หากสมองได้รับการกระทบกระเทือน หรือมีเลือดออกในสมอง ก่อให้เกิดโรคอัมพาตได้

ปัจจัยเสี่ยงไม่แน่ชัดที่ปรับเปลี่ยนได้
  • คนอ้วนจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ง่ายโดยเฉพาะอ้วนแบบลงพุง ข้อแนะนำให้ลดน้ำหนัก
  • ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ยิ่งออกกำลังมากยิ่งคุ้มครองมาก ข้อแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที
  • โภชนาการที่ไม่เหมาะสมมีหลักฐานยืนยันว่าการบริโภคผักและผลไม้จะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือด ข้อแนะนำให้นับประทานผักและผลไม้วันละ 5 ส่วน
  • การดื่มสุรา ผู้ป่วยที่ดื่มสุรามากกว่า 5 ดื่มจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ข้อแนะนำให้ดื่มสุราน้อยกว่า 2 ดื่มในผู้ชายส่วนผู้หญิงให้น้อยกว่า 1 ดื่ม
  • การใช้ยาคุมกำเนิด ความเสี่ยงเกิดจากการใช้ยาคุมกำเนิดที่มีระดับฮอร์โมนสูงปัจจุบันมีระดับฮอร์โมนต่ำความเสี่ยงจึงไม่มาก ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงก็ให้รับประทานยาคุมกำเนิดได้แต่ผู้ทีมีปัจจัยเสี่ยงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด
  • ผู้ที่ติดยาเสพติด

ปัจจัยเสี่ยงปรับเปลี่ยนไม่ได้

 เป็นความโชคไม่ดีหากท่านมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็ให้ประโยชน์ในการค้นหาผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค หากท่านมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ท่านต้องคุมปัจจัยเสี่ยงที่สามารถคุมได้ให้ดี ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้มีดังนี้
  • หากท่านมีพี่น้องพ่อแม่เป็นอัมพาต ท่านมีความเสี่ยงที่จะเกิดอัมพาต
  • อายุยิ่งมากความเสี่ยงยิ่งเพิ่ม ความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุกอายุ 10 ปีที่เพิ่มขึ้นหลังอายุ 55 ปี
  • เพศโรคหลอดเลือดสมองมักเป็นกับเพศชาย แต่การตายผู้หญิงจะตายมากกว่าอายุ ผู้ชายอายุมากกว่า 45 ปีความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น ผู้หญิงอายุมากกว่า 55 ปีความเสี่ยงจะเพิ่มมาก
  • เชื้อชาติ บางเชื้อชาติมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคอัมพาตได้ง่าย

อ่านกันมาถึงตอนนี้แล้ว คุณคิดว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัมพาตหรือไม่ค่ะ หากมีความเสี่ยงอยู่ แต่ไม่อยากเป็น ต้องเริ่มดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ แต่สำหรับคนที่เป็นแล้ว เรามีวิธีแนะนำการดูแลสุขภาพในแนวธรรมชาติบำบัด 12 ข้อง่าย ๆ ดังนี้
  1. เมื่อตื่นนอนขึ้นมาให้ดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร Multi Fruit Enzyme or Premier Fruit Enzyme ทันที 1 ช้อนชาผสมในน้ำ 1 ลิตร เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และขจัดเมือกมันของเสียในทางเดินอาหาร และระบบขับถ่าย
  2. ดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร Multi Fruit Enzyme 750 ml ในอัตราส่วน 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำอุ่น 100 cc ทุก ๆ ชั่วโมง  เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดภาวะเป็นกรดในเลือด ขยายหลอดเลือด และกระตุ้นระบบสื่อประสาท
  3. แช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำเอนไซม์แช่ผักทุกวัน วันละ 15 – 20 นาที ในอัตราส่วน 5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 3 – 5 ลิตร หรือใช้เอนไซม์แช่ผักผสมกับน้ำอุ่น อัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้วใช้ผ้าชุบประคบตามข้อเข่า ข้อศอก ข้อเท้า เพื่อกระตุ้นเซลล์กล้ามเนื้อ พังผืด และข้อต่อ การไหลเวียนของเลือด และขจัดของเสียออกทางผิวหนัง (ควรทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง หากมีภาวะข้อแข็ง พังผืดยึด ให้ประคบร้อน)
  4. ต้มน้ำโหระพาผสมขิงแก่ ดื่มเป็นชาจิบทุก ๆ ชั่วโมง (น้ำ 3 ลิตร โหระพา 200 กรัม และขิง 2 แง่ง ห้ามเติมน้ำตาล)
  5. งดอาหาร ของหวาน ของเค็ม หมักดอง สัตว์ใหญ่ และสัตว์หากินหน้าดิน (กุ้ง หอย ปลาดุก ปลาช่อน) เป็นต้น
  6. หากมีแผลกดทับ ถ้าไม่มีเลือดออกให้เอาสำลีชุบน้ำเอนไซม์แช่ผัก ทาที่แผลทุก ๆ ชั่วโมง ถ้ามีเลือดออก หรือมีอาการช้ำ ให้ใช้สำลีชุบน้ำเอนไซม์ Multi Fruit Enzyme ทาที่แผลทุก ๆ เช้า และเย็น
  7. หากมีอาการอาเจียน หรือท้องเสีย ให้ดื่มน้ำเอนไซม์ Premier ผสมกับน้ำผึ้ง และน้ำอุ่น  หรือน้ำโหระพาผสมขิง ในอัตราส่วนเอนไซม์ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำอุ่น 300 cc จะช่วยให้มีแรง และลดอาการท้องเสีย อาเจียน  
  8. ทำน้ำผักปั่นสูตรชมรมบ้านสุขภาพให้ผู้ป่วยทานทุกวัน วันละ 4 มื้อ โดยเริ่มต้นจากเช้า กับเย็น ต่อมาก็เป็นเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน 
  9. หากผู้ป่วยทานอาหารไม่ได้ หรือมีภาวะเบื่ออาหาร ให้ชงน้ำข้าวกล้องผงผสมธัญพืช 1 ช้อนตวง กับน้ำ 350 cc ทานก่อนอาหารทุกมื้อ หรือเมื่อมีอาการหิว 
  10. เข้านอนก่อน 21.00 น. ก่อนเข้านอน 19.00 น. ให้สวดมนต์บทพาหุ ให้ครบจบเท่ากับจำนวนอายุของผู้ป่วย และแพร่เมตตา ขออโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร
  11. ทำกายภาพบำบัดขยับแขนขา ให้ผู้ป่วยทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง หรือตามแพทย์สั่ง
  12. ใช้น้ำมันมะพร้าว นวดบริเวณกล้ามเนื้อแขน ขา ข้อต่อ เข่า ศอก เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อไม่ให้ลีบ และหล่อลื่นผิวหนัง ลดอาการอักเสบ ช้ำของกล้ามเนื้อได้อย่างดี
เพียงแค่ 12 ข้อ ง่าย ๆ ทำได้ทั้งผู้ป่วย และผู้ไม่ป่วยที่ต้องการดูแลสุขภาพ นำไปปรับใช้นะค่ะ

7 มีนาคม 2553

ตัดข่าว : นักวิชาการไขข้อข้องใจน้ำหมักชีวภาพ

เริ่มตั้งแต่กินได้หรือไม่ หมักยิ่งนานยิ่งดีจริงหรือ?

หวังสร้างความกระจ่าง กรณีน้ำหมักชีวภาพ หรือมหาบำบัด

น้ำหมักชีวภาพมีบทบาทเป็นทางเลือกในการส่งเสริมสุขภาพ แต่ขณะเดียวกันก็มีปัญหาหลายด้าน เช่น เรื่องคุณภาพมาตรฐาน รูปแบบการจำหน่าย และการโฆษณา  กรณีข่าวที่เกิดขึ้น มีประชาชนจำนวนมากติดตามข่าวและมีข้อสงสัยหลายประการ ดังนั้นการแยกแยะประเด็นจากข่าวเรื่องน้ำหมักชีวภาพจึงมีความจำเป็นทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค

ประการแรก น้ำหมักชีวภาพ ใช้กับคน พืชหรือสัตว์ กันแน่

 ก่อนอื่นต้องรู้จักน้ำหมักชีวภาพก่อน ว่า น้ำหมักชีวภาพโดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

(1)น้ำหมักชีวภาพที่ใช้สำหรับพืชและสัตว์

(2 ) น้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค

ทั้งสองประเภทมีความแตกต่าง คือ

ประการแรก เป็นความความแตกต่างในเรื่อง วัตถุดิบและกระบวนการผลิต  เช่น
  • น้ำหมักชีวภาพที่ใช้สำหรับพืชและสัตว์ มักใช้วัตถุดิบที่มาจากขยะ, สิ่งเหลือใช้ทั้งจากพืชจากสัตว์ หรือบางสูตรอาจใช้พืช ผัก และผลไม้ ตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ในพืชหรือสัตว์แต่ละชนิด  โดยกระบวนการผลิตจะทำอย่างง่ายเพื่อใช้ในภาคเกษตร
  • ส่วนน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค จะต้องคัดเลือกวัตถุดิบ เช่น พืช ผัก ผลไม้ โดยวัตถุดิบแต่ละชนิดจะมีกระบวนการคัดเลือกตามคุณสมบัติเพื่อการบริโภคทั้งด้านโภชนาการ และสรรพคุณของพืชนั้นๆ
 ที่สำคัญคือกระบวนการผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภคจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ มีการควบคุมความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นจนขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตโดยไม่ให้มีสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตรายทั้งจากวัตถุดิบหรือที่เกิดขึ้นในกระบวนการหมัก และต้องผลิตให้ได้ตามมาตรฐานน้ำหมักสำหรับการบริโภค

ในปัจจุบันมีการพัฒนาใช้เอนไซม์หัวเชื้อในการผลิตน้ำหมักชีวภาพ  หรือต้นเชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการผลิตนั้นอาจเป็นได้ทั้งรูปแบบอย่างง่าย คือ ต้นเชื้อที่ผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น และต้นเชื้อบริสุทธิ์ที่สามารถควบคุมทั้งความปลอดภัยของน้ำหมัก และยังสามารถทำให้ได้คุณภาพ และประสิทธิผลต่อสุขภาพจากต้นเชื้อและสารเมทาบอไลต์ที่ได้จากต้นเชื้อ

ต้นเชื้อบริสุทธิ์ หรือเอนไซม์หัวเชื้อนี้จะต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกหรือกระบวนการหมัก ให้ได้ต้นเชื้อหรือเอนไซม์บริสุทธิ์ที่มีคุณสมบัติเพียงพอในการใช้ผลิตน้ำหมักชีวภาพให้ปลอดภัยในการบริโภค จึงต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ มาประกอบพอสมควร

ประการที่สอง น้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภคที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

 ประเด็นนี้เป็นที่รับรู้กันว่า เมื่อมีการหมักจะต้องมีจุลินทรีย์เกิดขึ้น ซึ่งที่จริงแล้ว ไม่เพียงแต่มีจุลินทรีย์ หากแต่มีหลายสิ่งที่ปนเปื้อนซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ เช่น เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้มี เมทาทอล เอทานอล และกลุ่มฟูเซลล์ออยล์ (Butanol, Propanol) ซึ่งหากรับประทานจะทำให้มึนหัว ดังนั้น เราต้องมีการควบคุมคุณภาพให้ได้น้ำหมักที่ดีคือ
  1. ไม่พบสิ่งปลอมปน 
  2. เอทานอลต้องไม่เกินร้อยละ 3 
  3. เมทานอลต้องไม่เกิน 240 มิลลิกรัมต่อลิตร
 ส่วนจุลินทรีย์นั้นในการหมักอาจพบจุลินทรีย์ได้ 2 กลุ่มคือ 
  1. กลุ่มก่อโรค
  2. กลุ่มเสริมสุขภาพ

จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคที่ต้องควบคุม คือ
  • ซาลโมเนลลา ต้องไม่พบในตัวอย่าง 50 กรัม 
  • สตาฟิโลค็อกคัส ออเรียส ต้องไม่พบในตัวอย่าง 1 มิลลิกรัม  
  • คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์  ต้องไม่พบในตัวอย่าง 0.1 กรัม 
  • เอสเชอริเชีย โคไลต้องน้อยกว่า 2.2 ต่อตัวอย่าง 100 มิลลิลิตร 
  • ยีสต์และราต้องไม่เกิน 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร 

 ส่วนจุลินทรีย์ที่ดี คือ
  1. จุลินทรีย์เสริมชีวนะหรือโปรไบโอติก (probiotic) เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดกรดแลกติก (กรดน้ำนม) จุลินทรีย์ชนิดนี้ ถูกนำใช้ในการผลิตโยเกิร์ต นมเปรี้ยว มีประโยชน์ คือ ช่วยไม่ให้เชื้อก่อโรคเจริญได้ ปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ช่วยในการเหนี่ยวนำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล 
  2. นอกจากนี้ยังพบคุณสมบัติของจุลินทรีย์เสริมชีวนะในการช่วยลดการเกิดสารก่อมะเร็ง และกลไกที่ชักนำให้เกิดมะเร็งจากการสามารถย่อยและจับสารก่อมะเร็งเอาไว้ได้ รวมถึง การลดการทำงานของเอนไซม์ที่มีกิจกรรมก่อให้เกิดสารพลอยได้ที่เป็นสารก่อมะเร็ง เป็นต้น ยกตัวอย่างจุลินทรีย์กลุ่มนี้ คือ  แบคทีเรีย แลกโตบาซิลลัส เคซิอิ (Lactobacillus casei) แลกโตบาซิลลัส อะซิโดฟิลุส (Lactobacillus acidophilus) แลกโตบาซิลลัส แพลนทารัม (Lactobacillus plantarum) เป็นต้น

 การควบคุมอีกเรื่องที่สำคัญซึ่งเกิดขึ้นในการหมัก คือ กรด ซึ่งโดยทั่วไปกรดที่เกิดในกระบวนการหมักถือเป็นการถนอมอาหารไปในตัว ความเป็นกรดของน้ำหมักเพื่อการบริโภคต้องมีค่าความเป็นกรดด่าง หรือค่าพีเอช (pH) ต่ำกว่า 4.3 จึงจะควบคุมการเจริญของเชื้อก่อโรคได้

"สำหรับกรณีที่เป็นข่าวว่านำน้ำหมักไปใช้หยอดตานั้น  โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์สำหรับตานั้นต้องไม่มีจุลินทรีย์ รวมทั้งต้องปรับสภาพความเป็นกรดด่างให้มีค่า 7.4 เพื่อไม่ให้ระคายเคืองต่อตา การนำน้ำหมักที่ยังไม่ผ่านกระบวนการใด ๆ ไปหยอดตาถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร"


 ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค คือ ได้จากจุลินทรีย์ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับว่าหัวเชื้อเป็นอย่างไร และประโยชน์จากคุณค่าสารสำคัญตามชนิดของพืชผักผลไม้ที่นำมาใช้หมัก เพราะการหมักเป็นการแปรรูปที่เป็นการสกัดสารสำคัญในพืชผักผลไม้ ซึ่งในประเทศไทยเรามี พืชวัตถุดิบมากมายที่นำมาใช้ เช่น ลูกยอ มะขามป้อม ผลไม้ชนิดต่าง ๆ ตามฤดูกาล

ดังนั้น น้ำหมักชีวภาพที่ดี ก็ต้องมีสารสำคัญของพืชผักผลไม้ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในการหมักจะมีสารสำคัญออกมา สารสำคัญนี้แหละที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสุขภาพ นอกเหนือจากโปรไบโอติก ดังนั้นในวัตถุดิบที่เราหมัก จะใช้เวลาแตกต่างกันที่จะสกัดสารสำคัญออกมา

ประการที่สาม หมักยิ่งนานยิ่งดีจริงหรือ

   การหมักแต่ละชนิดจะมีระยะเวลาที่เหมาะสม 2 องค์ประกอบ คือ
  1. ระยะเวลาของการเจริญของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งหากมีการหมักนานกว่า 2 ปี จุลินทรีย์กลุ่มนี้ ก็จะตายหรือหมดไป   อีกประการหนึ่งคือ  การหมักจะทำให้เราได้สารสำคัญออกมา เพราะเมื่อสารสำคัญออกมาหมดแล้ว กระบวนการสกัดก็สิ้นสุดลง เหลือเพียงกระบวนการเปลี่ยนแปลงขนาดของโมเลกุลให้เล็กลง เมื่อเวลาหมักนานขึ้น

 นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อคุณสมบัติของน้ำหมัก คือ เมื่อมีการหมักอาจทำให้วิตามินซีสลายตัวไป โดยปกติคนเราจะคิดว่ารสเปรี้ยวแสดงว่ามีวิตามินซี ตรงนี้เป็นความเข้าใจผิด สำหรับน้ำหมักจะมีรสเปรี้ยวเพราะเกิดจากจุลินทรีย์กลุ่มแลกติกที่อยู่ในกระบวนการหมัก ส่วน ภาชนะบรรจุ  แสง อุณหภูมิ และ อากาศ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้คุณสมบัติของน้ำหมักไม่คงตัว ดังนั้นการควบคุมคุณภาพของน้ำหมักเพื่อการบริโภคจึงต้องดูปัจจัยที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ด้วย

ประการที่สี่ น้ำหมักชีวภาพใช้ได้ครอบจักรวาลหรือไม่

 ประเด็นนี้แหละที่เกิดปัญหาโฆษณาเกินจริง เพราะมีการเหมารวม ซึ่งไม่ถูกต้อง
  • ประการแรกน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภคเป็นการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร (พืช ผัก ผลไม้) เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ ไม่ใช่เป็นยา  
  • ประการที่สอง น้ำหมักแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติต่างกัน จากวัตถุดิบที่ต่างกันและหัวเชื้อต่างกัน ดังนั้นน้ำหมักแต่ละชนิดไม่สามารถดูแลสุขภาพได้ครอบจักรวาล

ประการที่ห้า น้ำหมักชีวภาพแบบภูมิปัญญาชาวบ้านใช้ไม่ได้หรือ

 เรื่องนี้เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของประเทศไทยเรา ที่มีภูมิปัญญาดั้งเดิมสำคัญคือ
(1) กระบวนการหมักของชุมชน
(2) วัตถุดิบพืชผักผลไม้ไทยที่หลากหลาย และ
(3) ภูมิปัญญาการนำพืชไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์

 ทั้งสามประการนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของน้ำหมักชีวภาพ แต่ประเด็นที่อยากทำความเข้าใจคือ แต่เดิมมาการใช้น้ำหมักชีวภาพ ใช้เป็นลักษณะพื้นบ้าน ผลิตกันเองในครอบครัวหรือในหมู่บ้าน ไม่ได้ทำจำนวนมาก ไม่มีการขาย ไม่มีการเห่อตามกระแส แต่ปัจจุบันมีการผลิตเพื่อการจำหน่ายมากขึ้น การควบคุมคุณภาพมาตรฐานจึงต้องมีการพัฒนา  เพื่อความปลอดภัย และเพื่อได้ผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างสุขภาพ

 ปัจจุบันมีความพยายามพัฒนาน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภคในชุมชนตลอดมา และขณะเดียวกันก็มีการต่อยอดการวิจัยมากมาย เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีคุณภาพมาตรฐาน  จึงมีการวิจัยร่วมกับชุมชน  เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตโดยใช้ต้นเชื้อผักดอง

 ทั้งนี้  ฝ่ายชุมชนและผู้ด้อยโอกาส ศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสังคม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับศูนย์ประสานงานพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์สุขภาพชุมชน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (ศพช.อย.) ได้เข้ามามีบทบาทในแง่ของการสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยในเรื่องดังกล่าว

  โดยมี ผศ.ดร.ไชยวัฒน์ ไชยสุต คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นผู้อำนวยการชุดโครงการวิจัยตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน นำไปสู่การถ่ายทอดความรู้ แนะนำแนวทางการผลิตโดยการนำเทคโนโลยีชีวภาพอย่างง่ายๆเข้ามาช่วย ตลอดจนผลักดันในการวางตัวบทกฎเกณฑ์ในการผลิตน้ำหมักชีวภาพให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

จนได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 481/2547 (มผช.481/2547) เป็นมาตรฐานรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค และยังได้ร่วมมือกันจัดให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอ เช่น โครงการเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-learning)   การจัดเผยแพร่องค์ความรู้ในรูปแบบหนังสือและซีดี

 โดยจะมีการจัดถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภคขึ้นอีก ในระหว่าง วันที่ 13-14 มีนาคม 2553 ณ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวันที่ 22-23 พฤษภาคม 2553  ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. ติดต่อเข้ารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ที่ฝ่ายชุมชนและผู้ด้อยโอกาส ศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสังคม สวทช. โทร. 02-5648000 หรือคณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทร 086-4488073 และติดต่อบทเรียนอิเลคโทรนิคส์ได้ที่ ศูนย์หนังสือสวทช.โทร. 02-5647000

 “หากชุมชนหรือผู้ประกอบการต้องการที่จะผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค ควรเพิ่มเติมความรู้เพื่อการผลิตที่ดี และพึงตระหนักว่าน้ำหมักชีวภาพไม่ใช่ยา แต่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน  จึงไม่ควรหลงเชื่อการโฆษณาเกินจริง”

ผศ.ดร.ไชยวัฒน์ ไชยสุต ผู้อำนวยการชุดโครงการวิจัยน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค  อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

6 มีนาคม 2553

สูตรล้างไขมันในลำไส้

ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ทำให้ระบบดูดซึมบกพรอง เป็นต้นเหตุของปัญหาเหล่านี้

1. ถุงน้ำดีข้น เมื่อถุงน้ำดีข้น ผลที่ตามมา ได้แก่
  • นอนไม่หลับ (ไขมันเกาะผนังลำไส้เล็กมาก)
  • อารมณ์ฉุนเฉียว
  • ถ้าข้นถึง 80% จะเป็นนิ่วในไต
  • เหงือกบวม (การนอนหลับไม่เต็มอิ่มทำให้เหงือกบวม
  • สายตาเสื่อม
  • ทำให้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • ส่งผลกระทบไปถึงปอด
  • ถุงน้ำดี
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้มึนศีรษะ
3. ไตจะเสื่อมเพราะต้องทำงานหนัก เมื่อไตเสื่อมเป็นผลให้ความจำลดลง
  • ไตซ้ายผิดปกติ ความคิดสร้างสรรค์ อารฒณ์สุนทรีย์ ความรักสวยรักงามจะลดลง และเป็นคนขี้ร้อน
  • ไตขวาผิดปกติ ความจำจะลดลง และเป็นคนขี้หนาว 4. เลือดเลี้ยงหัวใจน้อย ถ้าเลือดเลี้ยงหัวใจเหลือเพียง 30% เครื่องมือแพทย์จะตรวจพบอาการของโรคหัวใจ
    5. ม้ามชื้น ทำให้อาหารและน้ำที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันทำให้อ้วนง่าย
    ไขมันเกาะตับ
    6. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด คนม้ามไตกินอาหารเท่าไรก็จะไม่อ้วน (ม้ามเป็นตัวควบคุมเม็ดเลือดขาว และน้ำเหลือง)
    7. กรณีไขมันเกาะลำไส้เล็กมาก ๆ จะทำให้ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ มีผลดังนี้
    - จะเป็นหวัดในตอนเช้า หรือหวัดเรื้อรัง
    - กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
    - เกิดโรคภูมิแพ้
    8. ไขมันในตับสูง การเสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก
1_display
    เครื่องปรุง
    โยเกิร์ต                                                1/2 ถ้วย
    นมสด                                                 1    กล่อง
    น้ำผึ้ง                                                  1    ช้อนโต๊ะ
    น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น               1    ช้อนชา
    yogure  milk  haney IMG_2809
    วิธีทำ
    นำเครื่องปรุงทั้งหมดผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามใจชอบ
    วิธีการรับประทาน
    ทานช่วงเช้าหลังตื่นนอนทันที ช่วยลดความอ้วน และกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
    ทานช่วงบ่าย (หลังบ่ายสามโมง) จะเพิ่มความอ้วน ปรับสมดุลของร่างกาย


    สูตรช่วยในการลดความอ้วน
    บทความลดความอ้วน


    ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุง ตับ ไต

    แถลงการณ์กรณีน้ำหมักขยะซุปเปอร์เช็ง

    โดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ ชมรมบ้านสุขภาพ

    ในกรณีที่ นางสาวศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ (ป้าเช้ง)ได้ทำการเผยแพร่น้ำหมักขยะสูตร ขยะ 3 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม และน้ำ 5 ลิตร เป็นสูตรที่ไม่ตรงกันกับงานวิจัยของดิฉัน ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์  คือ ขยะสด 3 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง หรือกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม น้ำ 10 ลิตร จึงจะเกิดออกซิเจนเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนและนำไปใช้ในการแก้ปัญหาการเกษตรที่มีผลผลิตตกต่ำ โดยการนำน้ำหมักดังกล่าวอายุอย่างน้อย 3 เดือน นำมาแยกน้ำและกาก นำเอากากไปผสมมูลสัตว์และใบไม้ นำไปทำอาหารพืช (อ่านรายละเอียด น้ำหมักเพื่อสิ่งแวดล้อม ได้ที่ หนังสือ จุดประกายฝัน)

    โดยงานวิจัยได้ทำการส่งเสริมเรื่องดังกล่าวมาเป็นระยะมากกว่า 10 ปี มีเครือข่ายงานวิจัยทั่วประเทศจนได้รับรางวัล ผู้รณรงค์การผลิตอาหาร Organic (การเกษตรไร้สารพิษ) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2545 โดยทางชมรมบ้านสุขภาพไม่เคยส่งเสริมหรือสอนให้ใคร นำน้ำหมักขยะไปใช้กับการรักษาสุขภาพเลย (นางสาวศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์) ไม่เคย่ผ่านการเข้าชั้นเรียนหรือผ่านการอบรมตามหลักสูตรของชมรมบ้านสุขภาพมาก่อน จึงเรียกว่า เป็นการใช้วิธี “ครูพักลักจำ” เอาตามความเข้าใจของตนเป็นเรื่อง ๆ ชนิดที่ขาดความรู้และความเข้าใจอย่างแท้จริง

    (ดังเอกสารเผยแพร่ชื่อ จุดประกายฝัน ที่แนบมาพร้อมกันนี้ ซึ่งได้ทำการตีพิมพ์ก่อนที่ นางสาวศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ จะเข้ามารู้จักชมรมบ้านสุขภาพ ระยอง มากกว่า 5 ปี)

    นางสาวศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ เคยเดินทางมาจากเชียงใหม่ ครั้ง 1 เมื่อ 7 ปี ที่แล้ว โดยมีการแสดงวาจารุนแรงแบบนักเลง จนบรรดาเพื่อนสมาชิกในชมรมบ้านสุขภาพต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย โดยมีเพื่อนสมาชิกผู้หนึ่งชื่อ คุณรำไพ อุ่นเรือน เจ้าของฟาร์มไก่จาก อ.ราษ๊ไศล จ.ศรีษะเกษ (โทร 045-681140) เป็นผู้ชักนำมา สมาชิกภายในบ้านก็ให้เกียรติต้อนรับเป็นอย่างดี และขณะที่ลงมาจากรถ นางสาวศรวรรณ ได้เห็นชายคนหนึ่งชื่อ นายธนะชัย มิตรอุดม เธอได้กล่าวทักว่า “เฮ้ย! เสี่ยร้านทอง มาสับสับปะรดอยู่ที่นี่ทำไมว่ะ?”

    หลังจากที่ดิฉันได้ยินคุณยายกล่าว ก็รู้สึกว่าจะต้องช่วยแก้ไขนิสัยของคุณยายคนนี้ใหม่ ถ้ามีโอกาสไม่ช้าก็นาน

    ต่อมานางสาวศรวรรณ ได้เจ็บป่วยลงจากสภาวะร่างกายแก่ชระด้วยความไม่รู้จักตนเอง และเนื่องจากทางชมรมบ้านสุขภาพมีอากาศดีประกอบกับทางชมรมจัดให้มีการประชุมเกษตรกรเป็นประจำ เธอจึงขอแวะเวียนมากิน นอน และรับประทานอาหารไร้สารพิษอยู่ที่ชมรมบ้านสุขภาพเป็นประจำ จนสุขภาพที่ทรุดโทรมของเธอดีขึ้น เป็นเหตุให้เธอขอติดตามดิฉัน (ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์)ไปประชุมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยในวันที่ดิฉันเป็นผู้บรรยายในหัวข้อ Human Security (ความปลอดภัยของมนุษย์ชาติ) ในเรื่องอาหารปนเปื้อนและมาตรฐานความสะอาด (รายชื่อผู้ร่วมเป็นวิทยากร แนบมาพร้อมกันนี้ หน้า 12) มีวิทยากร 3 ท่าน คือ
        1. อดีตประธานผู้คุ้มครองผู้บริโภคประเทศสวิตเซอร์แลนด์
        2. ผู้อำนวยการโครงการป้องกันการบาดเจ็บขององค์กรอนามัยโลก
        3. ดิฉัน ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ นักวิจัยการเกษตร ประเทศไทย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรขณะนั้น (ฯพณฯ ชูชีพ หาญสวัสดิ์) อนาคตความปลอดภัยของสุขภาพด้วยอาหารไร้สารพิษ
    ดิฉัน ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ รับเชิญเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และวิทยากรบนเวทีโลก การประชุม World Congress of Holistic Medicine ครั้งที่ 42

    นางสาวศรวรรณ ได้ติดตามดิฉันไปในที่ต่าง ๆ ซึ่งดิฉันคาดไม่ถึงว่า นางสาวศรวรรณจะกล้าหาญนำเสนอ เอาน้ำหมักขยะไปรักษาคน โดยไม่ทราบว่าเอามาจากไหน เพราะน้ำหมักตามงานวิจัยของชมรมบ้านสุขภาพ คือ น้ำผึ้ง 1 กิโลกรัม น้ำ 10 ลิตร ผลไม้นานาชนิด 3 กิโลกรัม เก็บไว้ 10 ปี จึงจะนำไปใช้ได้ นางสาวศรวรรณ ได้เห็นรูปร่างของน้ำหมักน้ำผึ้งของชมรมบ้านสุขภาพ ลักษณะคล้ายคลึงสูตรของเธอจึงนำไปโฆษณา และแอบอ้างเอาเทปวีดีโอของชมรมบ้านสุขภาพไปโฆษณาเผยแพร่ เพื่อให้คนหลงเชื่อก่อนในระยะแรก จึงถืือเป็นการมาหาข้อมูล จากชมรมบ้านสุขภาพ เพื่อการเผยแพร่โฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อตนเองก่อน โดยนำเอาผู้ป่วยโรคมะเร็งที่รักษาตนเองด้วยวิธีการทำบัญญัติ 10 ประการ พร้อมทั้งการทำสมาธิ และมีน้ำหมักสูตรน้ำผึ้งอายุการหมัก 10 ปีขึ้นไป ซึ่ง ดร.รสสุคนธ์ ได้บริจาคให้กับวัดเวฬุวัน ใช้ในการล้างสารพิษในอาหารก่อนนำไป ประกอบการผลิตอาหารให้ผู้ป่วยรับประทาน

    ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้มารับการเรียนรู้และอบรมการรักษาตนเอง ด้วยการทำอาหารไร้สารพิษรับประทานเอง ทางชมรมบ้านสุขภาพไมมีนโยบายและไม่รับรักษาโรคภัยใด ๆ ทั้งสิ้น

    ต่อมานางสาวศรวรรณ ได้สร้างความสับสนให้กับประชาชนอีกว่า น้ำหมักบ้าน ดร.รสสุคนธ์ เป็นของปลอม ของเธอเป็นของจริง จากที่ดิฉันได้ฟังการเล่าจาก พ.ท. ปกรณ์ มินวงศ์ นายทหารนอกประจำการ และเพื่อนสมาชิกที่ทั้งเดินทางและโทรศัพท์เข้ามาสอบถามข้อเท็จจริงกับดิฉัน และเนื่องจากเหล่าบรรดาเพื่อนสมาชิก และเครือข่ายงานวิจัยเริ่มอดทนต่อการพูดจาหลอกลวงของ นางสาวศรวรรณไม่ได้ จึงขอร้องให้ดิฉันช่วยทำหนังสือแถลงการณ์ ฉบับนี้ขึ้น

    ประชาชนต่างพากันมาที่บ้านสุขภาพกล่าวว่า ป้าเช็ง (นางสาวศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์) โฆษณาว่า ดิฉัน ดร.รสสุคนธ์ เป็นลูกศิษย์ของป้าเช็ง และน้ำหมักของบ้านดิฉัน ดร.รสสุคนธ์ สกปรก (ดังมีรายชื่อผู้แจ้งแนบมาด้านล่างนี้)

    ตัวอย่าง
    1. คุณกรวิน อำนวน  กรุงเทพ
    2. พ.ท.ปกรณ์ มินวงศ์ ลพบุรี
    3. คุณการันยื รัศมีแพทย์ มาบตาพุด ระยอง
    4. คุณธนันท์ลดา มณีอินทร์ บ้านฉาง ระยอง

    นับว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงของดิฉัน ด้วยการมีสื่อเคเบิ้ลทีวีอยู่ในมือ และเพื่อเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตนเอง โดยหลอกลวงโฆษณาขายน้ำหมักขยะที่แอบอ้างชื่อว่า มหาบำบัด,เจียรนัยเพรชร เอาเงินจากความหลงเชื่อของประชาชน จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และเกิดความเสื่อมเสียกับองค์กร เป็นเหตุให้ทางสาธารณสุขทั่วประเทศเข้าใจผิดว่า ดิฉัน (ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์) เป็นต้นฉบับไปใช้ให้ป้าเช็ง (นางสาวศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์) ทำการว่ากล่าวหน่วยงานของรัฐตามที่เธอพูดจาออกอากาศทางเคเบิ้ลทีวี จึงถือเป็นการใช้เครื่องมือสื่อสารทำลายชื่อเสียงของดิฉันอย่างตั้งใจเพื่อประโยชน์ของตนเอง

    ดิฉัน ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ ขอยืนยันว่า ข้อความทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเป็นความจริงทุกประการ
    และหน้าสุดท้าย ขอเป็น scan เพื่อให้เห็นว่า มีลายเซ็นต์ ดร.รสสุคนธ์อย่างแท้จริงค่ะ

    ดร
    คัดลอกมาจากจดหมายแถลงการที่ลงวันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
    พิมพ์โดย คุณตู๋ บ้าน(รักษ์)สุขภาพ รามอินทรา

    4 มีนาคม 2553

    แนวทางแพทย์ทางเลือกในการเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย

    โดย นายแพทย์กำพล ศรีวัฒนกุล เรียบเรียง โดย คุณทิฆัมพร ตันติวิมงคล

    ในการดูแลรักษาบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง ในปัจจุบันควรมีการผสมผสานระหว่างแพทย์ทางเลือกกับแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น เช่น คนที่รักษามะเร็ง ใช้วิธีเคมีบำบัดร่วมกับการแพทย์ทางเลือกดีกว่าใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะมะเร็งระยะสุดท้าย น่าจะนำทางเลือกที่เหลืออยู่มาให้กับคนไข้เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้มากขึ้น


    โดยพื้นฐานแล้วหลักการของการแพทย์ทางเลือก ผู้ป่วยเป็นบุคคลหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการเลือกทางรักษา ไม่ว่าท่านจะได้รับการดูแลด้วยการแพทย์ในทางใด สาขาใด ท่านควรมีส่วนร่วมในการเลือกทางรักษาและหน้าที่ดูแลตนเองด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์คนใดคนหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะตัวท่านเองนั้นมีความสำคัญในการรักษาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะด้านจิตใจ ถ้าท่านเองศรัทธาวิธีการรักษาที่ได้รับอยู่ โดยวิธีนั้นก็จะมีประสิทธิภาพในการรักษาให้เห็นผลดีขึ้น

    stemcell
    ในปัจจุบันนี้ การรักษาด้วย เซลล์ต้นกำเนิด หรือ stem cell คือ การซ่อมแซมเซลล์ หรืออวัยวะที่เสื่อมสลายหรือเสียไป ให้ฟื้นฟุูดีขึ้น ซึ่ง stem cell โดยปกติก็จะมีอยู่ในตัวของเราเองอยู่แล้ว แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น เซลล์ต้นกำเนิด หรือ stem cell จะมีประสิทธิภาพลดลง หรืออ่อนแอลง นักวิจัยค้นพบว่า Stem cell ที่อยู่ในส่วนหนึ่งของร่างกายจากบ้างบริเวณ เช่น ไขสันหลัง จะสามารถนำเอาออกมาทำการเพาะเลี้ยงให้มากขึ้นแล้วฉีดคืนให้กับร่างกายเราได้ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่มาจากความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของร่างกายเป็นอย่างดี

    และคงเคยได้ยินว่า เวลานั่งสมาธิ ก้อนมะเร็งยุบได้ เพราะมีต่อมไร้ท่อชื่อ ต่อมไธมัส ทำหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือดขาว จะทำลายเซลล์มะเร็งและเชื้อโรคต่างๆให้กับเรา ถ้าต่อมไธมัส ทำหน้าที่ได้ดีขึ้นเม็ดเลือดขาวจะมีประสิทธิภาพทำลายเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น”
    ภูมิคุ้มกันร่างกาย เเป็นเสมือนกับทหารเอกของร่างกาย ที่คอยปกป้องเราจากศัตรูที่ลุกลามเข้ามา เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อโรคต่างๆ เชื้อรา ทำให้เกิดการติดเชื้อ โรคที่เกิดจากไวรัส ได้แก่ โรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการติดเชื้อ การรักษาในโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยติดเชื้อ จะได้รับการรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ ถ้าใช้มาก จะเกิดการดื้อยา ทำให้การรักษาไม่ได้ผลในเวลาต่อมา ที่ร้ายไปกว่านั้น (แบคทีเรียในร่างกายมีทั้งที่มีประโยชน์และมีโทษ) เมื่อเรามีการใช้ยาปฏิชีวนะมากๆ จะส่งผลไปทำลายเชื้อแบคทีเรียตัวดี เมื่อเชื้อแบคทีเรียตัวดีลดลงจะส่งผลให้ร่างกายขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด และส่งผลเสียต่อระบบสมดุลของทางเดินอาหาร ทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายตามมามากมาย
    การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อทำให้เป็นปัญหาตามมา แพทย์เองก็ควรต้องตระหนัก และยอมรับที่จะมาปรับปรุงภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีมากขึ้นมากกว่า การเลือกใช้ยาเพียงอย่างเดียว 
    ไวรัสตับอักเสบ เป็นไวรัสที่พบบ่อยมากในประเทศไทย เราควรตรวจดูว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัสโดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบี หรือไม่ (Hepatitis B) ถ้าเป็น อาจมีอาการรุนแรงและเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังได้ ดังนั้น ควรที่จะไปตรวจดูว่า เราเป็นโรคหรือพาหะหรือไม่
    โรคไวรัสตับอักเสบบี พบบ่อยและติดต่อกันได้ทางเพศสัมพันธ์ แต่ถ้ามีภูมิคุ้มกันแล้วไม่ต้องกังวล หรืออาจตรวจพบว่า เป็นพาหะ (Carieer) ตรวจพบเชื้อแต่ไม่มีอาการ ตัวเองไม่เป็นโรค แต่แพร่กระจายเชื้อโรคให้คนใกล้ชิดได้ ดังนั้น ควรเรียนรู้ที่จะดูแลปฏิบัติตนอย่างไร จะไม่ก่อให้เกิดอาการ และไม่แพร่กระจายให้ผู้อื่น หรือผู้ใกล้ชิดได้
    hepatitis-b
    ทางการแพทย์แผนปัจจุบันสามารถทำการตรวจเช็คดูว่ามีภูมิคุ้มกันหรือไม่ ถ้าตรวจแล้วไม่มี ต้องฉีดวัคซีน และเพื่อความปลอดภัย เราควรต้องทราบว่าโรคใดที่ป้องกันได้ และมีวัคซีนในการฉีดป้องกัน ดังนั้นควรสนใจ ใส่ใจดูแลสุขภาพตนเอง ถ้าเป็นขึ้นมายาในปัจจุบันที่รักษาไวรัสตับอักเสบบี (Hepatits B) ที่มีประสิทธิภาพสูง และปลอดภัยนั้นหาได้ยาก และมีราคาแพง
    การแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถที่จะพัฒนายารักษาไวรัสโดยเฉพาะ ไวรัสตับบี รวมทั้งเอดส์ได้ ถ้าเราสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นได้ โดยการทำให้เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่ทำลายเชื้อไวรัสได้มากขึ้น เช่น กรณีไข้หวัดนก ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันดี เราจะไม่เป็นโรค แต่ถ้าภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แม้แต่เชื้อแบคทีเรียที่ไม่รุนแรงยังทำอันตรายคนได้ เช่น คนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นโรคติดเชื้อบางอย่าง อาจจะตายจากเชื้อโรคได้
    คุณทราบไม่ว่า ในแต่ละวัน ทุกคนจะมี เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้น ไม่มากก็น้อย เพราะร่างกายของเรามีการแบ่งตัวเซลล์ทดแทนเซลล์เก่าอยู่เรื่อยๆ ถ้าอัตราในการแบ่งบ่อยเกินไป จนทำให้การถอดรหัสพันธุกรรมผิดพลาด เช่น เป็นแผลเรื้อรัง หรือเป็นฝี เป็นไฝ ที่โตเร็วขึ้น ความเสี่ยงการแบ่งตัวผิดพลาด กลายพันธุ์ ทำให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
    คนที่อยู่บ้านเดียวกัน กินอาหารเหมือนกัน สิ่งแวดล้อมเหมือนกัน บางคนเป็นมะเร็ง บางคนไม่เป็นมะเร็ง เพราะภูมิคุ้มกันเป็นตัวปกป้องไว้ แต่โอกาสที่จะเป็นโรคคล้ายกันหรือเหมือนกันก็มีสูง เพราะได้รับสารอาหารหรือของเสียเหมือนกันตลอด แต่คนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง เมื่อมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น เซลล์เม็ดเลือดขาว ที่เรียกว่า เซลล์เพชรฆาต จะทำหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็งไม่ให้แพร่กระจายได้ ดังนั้นจึงควรกระตุ้นให้มีภูมิคุ้มกันให้พร้อม จะได้ป้องกันโรคต่างๆได้ดีมากขึ้น
    แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้งภูมิคุ้มกันของเราก็กลับทำอันตรายเราได้ เช่น โรคภูมิแพ้ เวลามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา ร่างกายจะตอบสนองกลับ และหลั่งสารตัวหนึ่งซึ่งเรียกว่า ฮีสตามีน (Histamine) ฮีสตามีนแจะทำให้ร่างกายมีน้ำมูกไหล คัน มีอาการภูมิแพ้ต่างๆเกิดขึ้น ฉะนั้นภูมิคุ้มกันบางครั้งทำหน้าที่ผิด ทำให้เกิดปัญหา และสำหรับโรค Autoimmune disease (โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง) เช่น โรค SLE รูมาตอยส์ เกิดจากภูมิคุ้มกันมองเห็นส่วนประกอบของร่างกายกลายเป็นศัตรู เช่น ทำลายไตตัวเอง ทำลายตัวเอง ทำลายเม็ดเลือดตัวเอง ภูมิคุ้มกันมีทั้งบวกและลบ เราจะต้องรักษาสมดุลให้ดี ถ้าหากเราให้มันทำลายมากๆ โดยไม่มีกระบวนการยับยั้ง มันจะทำลายเซลล์ของเราเอง

    การรักษามะเร็ง ถ้ามีมะเร็งเป็นก้อน แพทย์ก็จะแนะนำให้ทำการผ่าตัดเอาออก แต่ถ้าไม่มีการเตรียมร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงพอ สิ่งที่เกิดขึ้นเวลาที่หมอกรีดผ่าก้อนมะเร็งเพื่อเอาเนื้อเยื่อไปตรวจ จะทำให้เซลล์มะเร็งกระจายตัวมากขึ้น ฉะนั้น การผ่าตัดก้อนมะเร็งจึงยอมมีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ มิใช่ความผิดพลาดของหมอที่ทำการผ่าตัด แต่เป็นภาวะหนึ่งของร่างกายเราที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่่อ่อนแอด้วย ฉะนั้นก่อนไปตัดชิ้นเนื้อตรวจ (Biopsy) ควรเตรียมภูมิคุ้มกันให้พร้อมก่อน เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ทั้งกายและใจ เพื่อให้เซลล์มะเร็งที่กระจายถูกทำลายไปโดยเม็ดเลือดขาวในร่างกาย
    BloodCell  แต่ถ้าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เราต้องพัฒนาเซลล์เม็ดเลือดขาวให้แข็งแรง มีปริมาณมาก และทำหน้าที่ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีหลายวิธี
    • วิธีการคือการฝึกสมาธิ จะมีผลต่อต่อมไธมัส ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายได้มากขึ้น ด้วยส่วนประกอบที่เรียกว่า เซลล์เพชรฆาต
    • โภชนาการบำบัด เลือกทานอาหารที่เสริมเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
    • ดื่มน้ำเอนไซม์จากผัก ผลไม้เป็นประจำ เพื่อช่วยการทำงานของเม็ดเลือดขาว และทำความสะอาดร่างกายตนเองให้พร้อม
    • อาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็น เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

    สรุป
    แนวทางการส่งเสริมการเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ไม่เพียงเป็นการรักษาโดยแพทย์ทางเลือกเท่านั้น การแพทย์แผนปัจจุบันควรให้ความสนใจและยอมรับในการผสมผสานวิธีการรักษาโรคในหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด และตัวผู้ป่วยเองควรเรียนรู้การดูแลฟื้นฟูสุขภาพและเลือกแนวทางในการรักษาไปพร้อม ๆ กับแพทย์ผู้ดูแลด้วย เพื่อให้มีกำลังใจในการรักษา และได้วิธีการรักษาที่ถูกต้องและได้ผลกับร่างกายคุณมากที่สุด