google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

30 พฤษภาคม 2557

น้ำโหระพา คุณค่าแห่งสมุนไพรไทย

วันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ ขอนำเสนอ วิธีการทำ น้ำโหระพา น้ำสมุนไพรไทย เพื่อสุขภาพ ....

โหระพา เป็นสมุนไพรไทยพื้นบ้าน ที่เป็นที่รู้จักกันของคนไทย กลิ่นหอม รสชาดเฉพาะตัว ของ ใบโหระพา เป็นที่คุ้นเคย อยู่คู่กับครัวไทยมานาน... ใช้เป็นทั้งผักแกล้ม และผักใส่แกง ช่วยดับกลิ่นคาวของอาหารหลายชนิด เช่น ผัดเนื้อปลาใส่โหระพา แกงเผ็ด แกงเลียง เป็นต้น

โหระพา เป็นพืชสมุนไพร หรือ ผักสวนครัว ปลูกง่าย อยู่ในตระกูลเดียวกับกระเพรา และแมงลัก  ใบสด มีสรรพคุณช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมในกระเพาะ แก้คลื่นใส้อาเจียน บรรเทาอาการท้องร่วง และเป็นยาระบายอ่อน ๆ

นอกจากนี้ ใบโหระพายังมีสรรพคุณรักษาโรคหวัด รักษาอาการปวดศีรษะ โดยใช้ยอดอ่อนต้มกับน้ำดื่มเป็นชา หรือกินเป็นผักสด ใช้ร่วมกับขิงแก้ไอ และช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย

จากงานวิจัย พบว่า สารสกัดใบโหระพาที่ได้จากการกลั่นด้วยไอน้ำ มีสีเหลืองอ่อนถึงไม่มีสี ใบโหระพามีน้ำมันหอมระเหยอยู่ประมาณร้อยละ 0.1-1.5 เมื่อทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างจาก headspace และตรวจสอบด้วย gas chromatography พบว่าในน้ำมันหอมระเหยประกอบด้วยสารเมทิลชาวิคอล (methylchavicol) เป็นสารหลัก (ร้อยละ 93) และสารกลุ่มเทอร์พีน ได้แก่ลินาโลออล (linalool) และซินีออล (1, 8-cineol) นอกจากนี้ ยังมีสารยูจีนอล (eugenol) กรดกาเฟอิก (caffeic acid) และกรดโรสมารินิก (rosmarinic acid) เป็นต้น

น้ำมันหอมระเหยจาก โหระพาช่วยการย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงช่วยการย่อยอาหาร ขับลมแก้ท้องอืดเฟ้อ ลดการปวดเกร็งในระบบทางเดินอาหาร และแก้หวัด น้ำมันโหระพามีกลิ่นหอมหวาน เมื่อสูดดมมีคุณสมบัติช่วยให้เกิดความสงบ มีสมาธิ ลดอาการซึมเศร้า ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดัน มะเร็ง อีกด้วยค่ะ

ในการแพทย์ทางเลือกแบบองค์รวม มีการแนะนำให้ดื่มน้ำโหระพาเป็นประจำทุกวัน ช่วยในการปรับสมดุลธาตุ ทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก กระตุ้นภูมิต้านทาน ทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ทำได้งานอย่างสมบูรณ์

สำหรับวันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ จะแนะนำสูตรทำน้ำโหระพา เพื่อสุขภาพ เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ทำไว้รับประทานเป็นประจำทุกวันเพื่อสุขภาพกันค่ะ

สูตรที่ 1 น้ำชาโหระพา แบบไทย ๆ 
ส่วนประกอบ มีดังนี้
1. ใบโหระพาสด 1 ขีด
2. น้ำดื่มสะอาด 2 ลิตร


วิธีทำ 
1. ล้างทำความสะอาดโหระพา เอาฝุ่นผงออก แล้วเด็ดเอาเฉพาะใบ มาแช่ในน้ำผสมน้ำเอนไซม์แช่ล้างผัก 10 นาที แล้วนำออกสะเด็ดน้ำ 
2. เติมน้ำใส่ในหม้อสแตนเลส ตั้งไฟแรงให้น้ำเดือด เมื่อน้ำเดือด เติมใบโหระพาที่ล้างแล้วลงไป ปิดฝาหม้อ แล้วปรับเป็นไฟแรงปานกลาง 5 นาที แล้วยกหม้อลง
3. ทิ้งไว้ 10 นาที แล้ว กรองเอาเฉพาะน้ำเก็บไว้ดื่ม 
4. ดื่มร้อน ๆ หลังอาหาร ช่วยในการขับลม หรือเวลาเวียนศรีษะ ปวดหัว ช่วยบรรเทาได้
5. เก็บใส่ขวดแก้ว เก็บในตู้เย็น แบ่งดื่มแทนน้ำเปล่า ได้ตลอดวัน ช่วยปรับสมดุลของธาตุในร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง

จาก งานวิจัยของตุรกีพบว่า ชาโหระพามีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันสูงกว่าชาเขียวที่จำหน่ายในตุรกี อีกทั้งมีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลและแผ่นคราบ (พลัค) ในกระแสเลือด ซึ่งในงานวิจัยการใช้ใบโหระพาเป็นยาลดคอเลสเตอรอล ในเลือดของสัตว์ทดลองที่ประเทศโมร็อกโกพบว่า สารสกัดโหระพามีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูทดลองที่ถูกทำให้มีปริมาณไขมันสูง เนื่องจากการสะสมไขมันของแม็กโครฟาจที่เหนี่ยวนำโดยแอลดีแอล-คอเลสเตอรอล (LDL-C) หรือไขมันไม่ดี มีบทบาทสำคัญในการเกิดแผ่นคราบ (พลัค) ของโรคหลอดเลือดอุดตัน อีกด้วย

จะเห็นได้ว่า... น้ำโหระพา หรือน้ำชาโหระพา น้ำสมุนไพรโหระพา ทำง่าย ๆ แต่มีประโยชน์มากมาย เรามาทำดื่มกันดีกว่าค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดี

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage หรือ ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ

29 พฤษภาคม 2557

สูตรบำรุงผิวใสด้วยเอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดผิว

สูตรบำรุงผิวใสด้วยเอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดผิว ที่คุณเองก็ทำได้เอง

สำหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาผิวพรรณ ไม่ชอบใช้สารเคมี ชอบธรรมชาติ ขอแนะนำสูตร เอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดผิว ซึ่งทางสปาในเชียงใหม่แห่งหนึ่งได้มีการนำมาใช้ในการบำบัดผิวพรรณให้กับผู้เข้ามารับบริการ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก


และข้อดีมาก ๆ ของสูตรนี้คือ ไม่มีสารเคมี ไม่มีสารประกอบของเครื่องสำอาง ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือระคายเคืองใด ๆ ยกเว้นคุณมีผิวที่แพ้ กรดจากผลไม้ และควรหลีกเลี่ยงการออกตากแดดหลังใช้บริการ

สูตรบำรุงผิวใสด้วยเอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดผิวนี้ เป็นสูตรที่เผยแพร่ให้เป็นวิทยาทานแก่ทุกท่าน มีส่วนประกอบ ดังนี้

1. น้ำผึ้งดอกไม้ป่า หรือ น้ำผึ้งแท้ ในน้ำผึ้งจะมีฮอร์โมนธรรมชาติคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยทำให้ผิวเต่งตึง มีน้ำมีนวล เนื่องจากสารที่คล้ายฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยลดลงนั่นเองค่ะ และในน้ำผึ้งยังมีสารอาหารต่างๆ อยู่มากมาย เช่น เอนไซม์ วิตามิน และ แร่ธาตุ ที่จะเข้าไปช่วยทำให้เซลล์ผิวแข็งแรง เปล่งปลั่งขึ้น โดยเฉพาะ กรดอะมิโนที่ชื่อว่า ซีสเทอีน
กรดอะมิโนตัวนี้ มีฤทธิ์ในการทำให้เม็ดสีเมลานินในผิวหนังสร้างได้น้อยลงค่ะ นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้บางท่านนำน้ำผึ้งไปพอกหน้าแล้วหน้าขาวขึ้นได้ด้วยค่ะ

2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร Multi Fruit Enzyme หรือ น้ำเอนไซม์ผลไม้รวม นั้นเอง ในน้ำพลังเอนไซม์บำบัดนี้ จะมี เอนไซม์ และ กรดอะมิโน หลายชนิด ช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ฟื้นฟูสภาพเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวหนังแข็งแรง พร้อมทั้งแร่ธาตุอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ช่วยบำรุงผิว
ลดการอักเสบของผิว ลดอาการคัน ระคายเคือง ได้อีกด้วย และ น้ำพลังเอนไซม์บำบัดนี้ ยังเป็นที่นิยมของ นักธรรมชาติบำบัด หรือการรักษาแบบแพทย์องค์รวม ด้วยการผสมน้ำดื่มเป็นประจำทุกวัน ก่อนอาหาร และก่อนนอน เพื่อช่วยในการย่อย ปรับสมดุลของร่างกาย ฟื้นฟูสภาพร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง อีกด้วย

และปัจจุบัน ก็พบว่ามีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสกินแคร์ที่บอกว่ามีส่วนผสมของเอนไซม์ที่ดูแลรักษาผิวได้อยู่ แต่เมื่อเอนไซม์เข้าไปอยู่ในเครื่องสำอาง  อาจจะคงสภาพอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากเอนไซม์จะคงสภาพดีก็ต่อเมื่ออยู่ในค่าความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมและ อุณหภูมิที่เหมาะสม บางทีหากทำเป็นเครื่องสำอางสกินแคร์ที่ผสมเอนไซม์ อีกด้วย แต่ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ปฏิกิริยาทางเคมีในอนาคตเมื่อใช้ๆไป เอนไซม์จะเสื่อมลงหรือไม่ ทำให้อาจใช้สินค้านั้นๆไม่ได้ผลค่ะ และอาจแพ้ได้ในอนาคต แต่ก็มีหลายบริษัทชั้นนำที่สามารถคิดสูตรให้เอนไซม์คงสภาพได้จริง แต่ราคาก็แพงเป็นเงาตามตัวค่ะ

นอกจากนี้ในน้ำพลังเอนไซม์บำบัด ยังมีกรดผลไม้ที่เรียกว่า กรด AHA ที่อ่อนโยนต่อผิว กรดAHA นี้จะช่วยบำรุง ล้างพิษ และผลัดเซลล์ผิว ได้ดีเยี่ยม

สามารถนำมาใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย โดยการพอกไว้บนผิวหลังอาบน้ำ อย่างน้อย 20 -30 นาที สามารถทำได้ทุกวัน ส่วนวิธีการผสม ก็ได้ น้ำผึ้งดอกไม้ป่า 5 ส่วน น้ำพลังเอนไซม์บำบัด 1-2 ส่วน ผสมกันแล้ว พอกทิ้งไว้ หรือหากกลัวว่าเราจะแพ้หรือไม่ ให้ลองเทสต์ทาพอกไว้ทีท้องแขนสัก 1 ชั่วโมง หากไม่มีอาการระคายเคืองก็สามารถใช้ได้ค่ะ

หากพอกเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ผิวเนียนใส ลดจุดริ้วรอยด่างดำ หรือจะนำมาพอกที่บริเวณหัวนม รักแร้ หัวเข่า ข้อศอก ขาหนีบ ก็ช่วยลดรอยหมองคล้ำได้ด้วย ไม่ต้องพึ่งครีมแพง ๆ ให้เปลืองเงินเปลืองทองอีกด้วยค่ะ

แต่สูตรบำรุงผิวใสด้วยเอนไซม์น้ำผึ้งบำบัดนี้ เป็นการดูแลผิวแบบธรรมชาติบำบัด ต้องใช้เวลานะค่ะ ทำไปทุก ๆ วัน จะเห็นผลได้เองค่ะ อย่าใจร้อน ประหยัดเงิน เปลืองเวลาหน่อย เพื่อความงามค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับบทความ มีดังนี้

1. น้ำผึ้งดอกไม้ป่าแท้ ความชื้นต่ำ 18%
2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด Multi Fruit Enzyme 
3. สบู่เอนไซม์น้ำผึ้ง

สนใจติดต่อสอบถาม หรือสั่งซื้อได้ที่ Line ID : tu-bgood หรืออีเมล์ tusora@gmail.com

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage
 หรือ
ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ

28 พฤษภาคม 2557

ขั้นตอนการผลิตน้ำเอนไซม์เพื่อการบริโภค

ขั้นตอนการผลิตเอนไซม์สำหรับบริโภค

การผลิตน้ำหมักเอนไซม์เพื่อการบริโภคสำหรับดื่มเพื่อสุขภาพ  

เราจะใช้ผลไม้ที่มีอยู่มากมายในประเทศของเราซึ่งมีตลอดทั้งปี โดยเลือกผลไม้ที่มีสีสันต่าง ๆ มาทำการหมักเป็นน้ำเอนไซม์ แยกถังหมักกัน (ไม่ควรรวมกันหมัก เพราะผลไม้แต่ละชนิดมีอัตราการย่อยสลาย หรือการหมักเกิดเป็นน้ำเอนไซม์ และกรดอะมิโน แตกต่างกัน ....

ซึ่งเราจะมีการทำการหมักน้ำเอนไซม์เพื่อการบริโภค ดังต่อไปนี้

1. การจัดเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งประกอบไปด้วย
1.1 น้ำผึ้ง
1.2 ผลไม้ที่ต้องการ
1.3 น้ำสะอาด สามารถดื่มได้
1.4 ถ้วยตวง หรือตาชั่ง
1.5 ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท

2. นำผลไม้ที่ต้องการหมักมาทำความสะอาด แล้วตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ (ซึ่งผลไม้แต่ละชนิดจะให้ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุแตกต่างกัน แต่จะให้กลุ่มของเอนไซม์ใกล้กัน อาจแตกต่างกันที่ปริมาณของเอนไซม์ที่จะได้เล็กน้อย)

3. นำผลไม้ไปชั่ง หรือตวง ให้ได้ ผลไม้ทั้งหมด 3 ส่วน หรือ 3 กิโลกรัม

4. นำน้ำผึ้งดอกไม้ป่า ความชื้นต่ำ ของแท้ มาชั่ง หรือตวง ให้ได้ 1 ส่วน หรือ 1 กิโลกรัม

5. นำน้ำมาตวง หรือชั่งให้ได้ 10 ส่วน หรือ 10 ลิตร หรือ 10 กิโลกรัม

6. แล้วเติมส่วนผสมทั้งข้อ 3, 4 และ 5 ลงในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท โดยเหลือพื้นที่ของขวด 1/5 ส่วน เพื่อให้มีพื้นที่ในการหมุนเวียนของอากาศในขวด

7. ปิดฝาแล้วทำประวัติติดข้างภาชนะ ให้ชัดเจน ดังนี้
7.1 ชนิดของผลไม้
7.2 วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต

8. แล้วนำเก็บในห้องที่มีอากาศถ่ายเท และมีแสงแดดส่องน้อยที่สุด เก็บนาน 3 - 6 เดือน (ขึ้นกับชนิดของผลไม้ โดยให้สังเกตุว่า น้ำที่ได้ใสหรือยัง) และให้หมั่นเปิดจุกคลายอากาศออกแล้วปิดทันทีในช่วงสัปดาห์แรก

9. เมื่อได้ระยะเวลา 3 - 6 เดือนแล้ว เกิดน้ำใสที่เรียกว่า สารละลายเอนไซม์  แยกกับตะกอน และชิ้นผลไม้ ก็ให้ดูดออกด้วยสายยาง แล้วนำมาขยายต่ออีกทุก ๆ 3 -6  เดือน เป็นเวลา 3 ปี ในอัตราส่วน น้ำใสหรือน้ำหมักเอนไซม์ 1 ส่วนต่อน้ำผึ้ง 1 ส่วน น้ำ 10 ส่วน โดยทุก ๆ ครั้งที่ ทำการขยาย สามารถนับอายุเอนไซม์ต่อไปได้เรื่อย ๆ

การขยายน้ำหมักเอนไซม์เพื่อการบริโภค แนะนำให้ใช้น้ำหมักเอนไซม์ที่มีอายุอย่างน้อย 4-10 ปี เพื่อให้ได้รับสารอาหาร และคุณค่าของเอนไซม์อย่างสมบูรณ์

การขยายน้ำหมักเอนไซม์เพื่อนำมาบริโภค หรือรับประทานนั้น มีขั้นตอนดังนี้

1. หัวเชื้อน้ำหมักเอนไซม์ที่อายุอย่างน้อย 4 ปี ซึ่งเมื่อนำมาทำการหมักขยายแล้วมีประสิทธิภาพไม่ลดลง และเป็นการขยายเพื่อให้ได้ปริมาณมากขึ้น  โดยให้ดูดเฉพาะส่วนใสมา 1 ส่วน
2. เติมน้ำผึ้งลงไปอีก 1 ส่วน และเติมน้ำดื่มสะอาดลงไป 10 ส่วน ในภาชนะที่ปิดสนิท ( ถ้าใช้น้ำผึ้งที่มีความชื้น 18% สามารถทานได้ทันที แต่ถ้าเราใช้น้ำผึ้งธรรมดาจะต้องหมักไว้นาน 3 - 6  เดือนจึงจะนำมาทานได้ )

2. แต่ถ้าเราขยายน้ำเอนไซม์แล้วไม่ทาน เมื่อทิ้งไว้จนครบ 6 เดือน เราสามารถนำมาขยายต่อในอัตราส่วนเท่าเดิมได้อีก คือ น้ำเอนไซม์ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน ทำให้ประหยัดเวลาในการหมัก และได้ปริมาณเอนไซม์เพื่อการบริโภคสำหรับสุขภาพเพิ่มขึ้นได้ค่ะ....

น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น หรือหัวเชื้อ Premier Fruit Enzyme เป็นน้ำหมักจากเอนไซม์ผลไม้ 20 กว่าชนิดมารวมกัน โดยมีอายุการหมักเริ่มต้นที่ 10 ปี ทำให้ได้หัวเชื้อสูตรเข้มข้น สำหรับใช้ดื่มเพื่อสุขภาพ ขจัดของเสียในร่างกาย หรือดีท๊อกซ์ และสามารถนำมาใช้เป็นหัวเชื้อหมักขยาย เพื่อการทำน้ำเอนไซม์เพื่อการบริโภคได้อีกด้วย....


หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage
 หรือ
ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ


25 พฤษภาคม 2557

การรับประทานเอนไซม์ต้องรับประทานขณะท้องว่าง จริงหรือ.....

การรับประทานเอนไซม์ต้องรับประทานขณะท้องว่าง....

การรับประทาน เอนไซม์ หรือ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด เพื่อสุขภาพนั้น ต้องรับประทานขณะท้องว่าง เพื่อช่วยในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน หรือช่วยในการทำลายโมเลกุลโปรตีนที่แปลกปลอมออกจากกระแสเลือด หรือร่างกาย การรับประทาน เอนไซม์ ควร ทานขณะท้องว่าง 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ก่อนอาหาร หรือ ประมาณ 1 - 2 ชั่วโมงหลังอาหาร เพื่อให้ เอนไซม์ ที่รับประทานเข้าไปนั้น ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ผ่านระบบการย่อยสลายอาหารในกระเพาะ เพราะหากรับประทาน เอนไซม์ ในขณะมีอาหารในกระเพาะ เอนไซม์ จะเข้าไปทำหน้าที่ในการย่อยอาหารเสียก่อน จนไม่เหลือเข้ากระแสเลือดตามต้องการ


ดังนั้น สำหรับ คนที่เป็นโรค มะเร็ง การรับประทานเอนไซม์ที่ถูกต้อง คือ ทานตอนท้องว่าง ทั้งก่อน และ หลัง อาหาร เพื่อให้ เอนไซม์ ทำหน้าที่ในการขจัดสิ่งแปลกปลอม เซลล์มะเร็ง โปรตีนแปลกปลอม ออกจากกระแสเลือดให้ได้เร็วที่้สุด

ซึ่ง เอนไซม์ ในน้ำพลังเอนไซม์บำบัด นั้น มีหลากหลายชนิด โดยเฉพาะ เอนไซม์ พวกโปรติเอส ที่เมื่อรับประทาน เอนไซม์ ขณะท้องว่างลงไปแล้ว ร่างกายจะสามารถดูดซีม เอนไซม์ นั้น เข้าสู่กระแสเลือดได้ภายใน 5 นาที เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว จะทำหน้าที่ไปย่อยสลาย หรือขจัด โปรตีนแปลกปลอม ออกจากเลือด เรียกว่า เป็นการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายแข็งแรงขึ้น ได้ผลอย่างดี

แต่การรับประทาน เอนไซม์ หรือ น้ำพลังเอนไซม์บำบัดนั้น มีวิธีการรับประทานหลายวิธี ซึ่งแล้วแต่จุดประสงค์ของผู้บริโภค

การรับประทานเอนไซม์ หรือน้ำพลังเอนไซม์บำบัด จะรับประทานขนาดเท่าไร....จะรับประทานตอนไหน เรามาดูกันว่า เราจะสามารถรรับประทานน้ำพลังเอนไซม์บำบัด ได้อย่างไรบ้างกันนะค่ะ

ขนาดการบริโภคที่แนะนำ ของ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด มีดังนี้

1. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด Multi Fruit Enzyme และน้ำเอนไซม์ สูตร N-2000 คือ 1 -2 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว (250 cc) สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป หากเด็กอายุไม่ถึง 1 ขวบ ก็ปรับขนาดลงเหลือ 1 ช้อนชาต่อนม 1 ขวด หรือเด็กอายุต่ำว่า 12 ปี ก็รับประทานเพียง 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว จะเป็นน้ำผลไม้ หรือนม ก็ได้ ส่วนบางท่านน้ำหนักตัวมาก ตัวใหญ่ อาจรับประทาน 2-4 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 300 cc ก็ได้ตามสะดวก โดยปรับปริมาณตามขนาดร่างกาย และความต้องการของร่างกาย สามารถเพิ่มหรือลดได้ตามสภาวะของความรู้สึกของร่างกายท่าน

2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด Premier Fruit Enzyme แนะนำให้รับประทาน ดังนี้ 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ขวดลิตร หรือ 1 หยดต่อ 1 แก้ว 250 cc จะเพิ่มลดตามขนาดน้ำหนักตัว และอายุได้ ดังข้างต้น

ส่วนเวลาของการบริโภค เอนไซม์ หรือ น้ำพลังเอนไซม์บำบัด นั้น ควรบริโภคแต่เฉพาะช่วงท้องว่างอย่างเดียวหรือไม่  หรือทานตอนไหนได้บ้าง เราแนะนำให้รับประทานเอนไซม์เสริม ตามแต่จุดประสงค์ความต้องการของผู้บริโภค ดังนี้

1. หากต้องการรับประทานเอนไซม์ หรือน้ำพลังเอนไซม์บำบัด เพื่อให้การย่อยดีขึ้น มีปัญหาเรื่องท้องอืด อาหารไม่ย่อย มีกรดในกระเพาะ จะแนะนำให้รับประทานทันทีก่อนอาหาร เพื่อช่วยในการย่อย และปรับสมดุลกรดด่างในกระเพาะอาหาร

2. หากรู้สึกมีอาการกรดไหลย้อน หรือท้องอืด สามารถรับประทานหรือดื่มน้ำเอนไซม์ได้ทันที เพื่อปรับสมดุลของภาวะกรดด่างในกระเพาะอาหาร เพราะน้ำเอนไซม์ ถึงจะมีสภาวะเป็นกรด แต่เป็นกรดอ่อน เรียกว่า เป็น กรดสะเทิน เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายจะไปแตกตัว ปรับสมดุลของร่างกายให้เป็นด่าง ช่วยลดภาวะท้องอืด และ กรดไหลย้อนได้ดีค่ะ

3. หากต้องการให้ภาวะอาการป่วยที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันลดลง หรือ มีของเสียในกระแสเลือด เช่น โรคหวัด โรคภูมิแพ้ โรคมะเร็ง โรคผิวหนัง  แนะนำให้รับประทาน เอนไซม์ ช่วงเวลาที่ท้องว่าง หรือในกระเพาะอาหารไม่มีอาหารค่ะ ซึ่งเมื่อรับประทานเอนไซม์อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้เองว่า อาการต่าง ๆ จะดีขึ้น

4. หากต้องการรับประทาน เอนไซม์ เพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก หรือย่อยสลายไขมันส่วนเกิน แนะนำให้ รับประทานเอนไซม์เพิ่มเติมจากมื้ออาหาร โดยการรับประทานเอนไซม์ช่วงท้องว่าง ก่อนเข้านอน เพื่อให้เอนไซม์เข้าตรงสู่กระแสเลือด และไปทำความสะอาดขณะไขมันในหลอดเลือดค่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับ การรับประทานเอนไซม์นั้น จำเป็นต้อง ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำแร่ ตามให้เพียงพอ อย่างน้อย 2 ลิตร เพื่อให้น้ำเป็นตัวช่วยในการนำพาเอนไซม์เข้ากระแสเลือด ช่วย เอนไซม์ ในการทำปฏิกิริยาเคมีในการย่อยสลายสิ่งแปลกปลอม ช่วย เอนไซม์ ในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย เป็นต้น ดังนั้น การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากด้วยค่ะ

หมายเหตุ สำหรับผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะ หรือเป็นโรคแผลในกระเพาะอยู่ อย่าเพิ่งรับประทานเอนไซม์ ในช่วงท้องว่าง ให้ทานพร้อมอาหารไปก่อน เพื่อให้ เอนไซม์ ไปช่วยระบบการย่อย ปรับสมดุลกรดด่างในกระเพาะ และค่อย ๆ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะค่ะ เมื่ออาการแผลในกระเพาะดีขึ้นแล้ว ก็สามารรับประทาน เอนไซม์ ในขณะท้องว่างได้ค่ะ

หากต้องการรับข้อมูลสุขภาพดี ๆ เชิญร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณได้ที่ บ้านรักษ์สุขภาพ เข้ามาเป็นเพื่อนรับข่าวสารกันได้เลยที่นี้ค่ะ....https://www.facebook.com/friutenzyme กด like ที่หน้า fanpage หรือ ใส่อีเมล์คุณที่หน้าเว็บไซด์http://friutenzyme.blogspot.com/ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพค่ะ

14 พฤษภาคม 2557

ความมหัศจรรย์ของเอนไซม์ ช่วยบำบัดโรคในร่างกาย

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ วันนี้ ขอนำเสนอบทความเรื่อง "ความมหัศจรรย์ของเอนไซม์ช่วยบำบัดโรคในร่างกาย" ซึ่งเป็นผลงานของ ดร. วนิดา  ธนประโยชน์ศักดิ์ แห่ง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีค่ะ...  

โดยจะนำบทความที่ทาง ดร.วนิดา ท่านได้เขียนไว้เผยแพร่ ในเรื่องของ "ความมหัศจรรย์ของเอนไซม์" ค่ะ

ในบทความ กล่าวไว้ว่า  เอนไซม์ เปรียบเสมือนกับสิ่งที่เป็นตัวจุดประกายของชีวิตที่อยู่ในร่างกาย ถ้าหากในร่างกายของท่านไม่มีเอนไซม์ ท่านก็ไม่สามารถย่อยอาหารและดูดซึมอาหารไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้และในที่สุดท่านก็จะตาย

ดังนั้น เอนไซม์ จึงเป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมี หรือตัวคะตะไลต์ ที่จำเพาะ ซึ่งจะทำงานร่วมกับ โคเอนไซม์ โคเอนไซม์ในที่นี้ก็คือ พวกวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย นั่นเอง หลายท่านอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนว่า วิตามินนั้นไม่สามารถกระตุ้นให้ทำงานได้ถ้าหากว่าไม่ได้ ทำงานร่วมกับเอนไซม์ 

ดร.เอ็ดเวิร์ด เฮาเวลล์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการ ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่ได้มีการ ศึกษาเกี่ยวกับเอนไซม์ในช่วงระหว่าง ปี พ.ศ. 2476 - 2486 กล่าวว่า "เรามีแหล่งพลังงานจากเอนไซม์ มาตั้งแต่แรกเกิด เปรียบเสมือนกับแบตเตอรี่อันใหม่ เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง แบตเตอรี่ดังกล่าวก็จะหมดอายุ การใช้งานไป ร่างกายเราก็เช่นกัน ถ้าหากมีการใช้แหล่งพลังงานจากเอนไซม์ไปมากเท่าไหร่ ชีวิตเราก็จะ สั้นมากขึ้นเท่านั้น" 

เนื่องจากเรามีแหล่งพลังงานจากเอนไซม์อันจำกัด แหล่งพลังงานนี้ก็จะสูญหาย ไปได้ เรื่อย ๆ จากนิสัยการบริโภคอาหารของเรา เช่น การรับประทานอาหารที่ปรุงแต่งด้วยสารเคมีต่าง ๆ มาก มาย การดิ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานยา หรือแม้แต่การรับประทานอาหารขยะ หรือพวกฟาสต์ฟูด ก็มีส่วนในการทำลายเอนไซม์ในร่างกายของเราทั้งสิ้น

ท่านอาจจะได้ยินประโยคนี้กันอยู่บ่อย ๆ ว่า "You are what you eat" แต่แท้ที่จริงแล้ว มีส่วนที่ถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งความจริงก็คือว่า "Your eat what you are" ต่างหากนั่นเอง

เอนไซม์ในร่างกายทำหน้าที่อะไรบ้าง... หน้าที่ที่แท้จริงของเอนไซม์ ได้แก่ ย่อยอาหาร สลาย สารพิษ ทำให้เลือดบริสุทธิ์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง สร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัว กำจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากปอด และลดความเครียดของตับอ่อนและอวัยวะอื่นๆ  

เอนไซม์มีกี่ชนิด... เอนไซม์สามารถจัดจำแนกออกได้ 3 ชนิดคือ 
  1. เมทาโบลิกเอนไซม์ (metabolic enzyme) เป็นเอนไซม์ซึ่งทำงานอยู่ในเลือด เนื้อเยื่อ และอวัยวะของ ร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำบัดและรักษาโรคภัยไข้เจ็บของร่างกาย
  2. ฟูดเอนไซม์ (food enzyme) เป็นเอนไซม์ที่ได้มาจากอาหารสด 
  3. ไดเจสทีฟเอนไซม์ (digestive enzyme) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยอาหาร 
อาหารจากธรรมชาติต่าง ๆ ล้วนแต่มีเอนไซม์อยู่ด้วยเพื่อที่จะช่วยในการย่อยสิ่งต่างๆ ที่เรารับประทาน เข้าไป เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน เส้นใย น้ำตาลและนม เป็นต้น เอนไซม์ในอาหารเหล่าที่ว่านี้สามารถจำแนก ได้เป็น 7 ประเภท คือ
  1. ไลเพส (Lipase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกไขมัน
  2. โพรทีเอส(Protease) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกโปรตีน 
  3. เซลลูเลส(Cellulase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารพวกเส้นใยพืชต่าง ๆ 
  4. อะไมเลส(Amylase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกแป้ง 
  5. แลกเทส(Lactase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกนม 
  6. ซูเครส(Sucrase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกน้ำตาล  
  7. มอลเทส (Maltase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกเมล็ดข้าว เป็นต้น 
เมื่อเรารับประทานผักสดและผลไม้เข้าไป ร่างกายก็จะได้รับเอนไซม์เหล่านี้เข้าไป เอนไซม์เหล่านี้ จะไปช่วยให้การทำงานของเอนไซม์ที่มีอยู่แล้วในร่างกายให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยใน การรักษา

ดร.เอ็ดเวิร์ด เฮาเวลล์ ยังได้ค้นพบว่าคุณภาพชีวิตและระดับพลังงานในร่างกายของเรานั้นขึ้นอยู่กับ เอนไซม์ทั้งหลาย ถ้าหากร่างกายของเรามีเอนไซม์อยู่น้อยก็จะทำให้เรามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพด้วย ซึ่ง มีผู้ประมาณการเอาไว้อีกว่าประมาณร้อยละ 80 ของโรคในร่างกายมีสาเหตุมาจาก ร่างกายไม่สามารถย่อย อาหารได้ และนอกจากนี้สารบางอย่างซึ่งเป็นพวกสารปนเปื้อนในอาหารก็จะถูกร่างกายดูดซึมเข้าไปด้วย

เรามีแหล่งเอนไซม์ที่สะสมมาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งปริมาณของเอนไซม์จะลดลงเรื่อยๆ ตามช่วงของอายุ ดังนั้นจึงมักพบว่าในผู้ใหญ่ ประสิทธิภาพในการผลิตเอนไซม์ของร่างกายจะลดลงทำให้เกิดปัญหาของการ พร่องเอนไซม์ในร่างกาย และนอกจากนี้สาเหตุของการขาดเอนไซม์ยังเกิดจากการที่เอนไซม์สูญเสียสภาพ ไป อันเนื่องมาจากการผ่านขั้นตอนต่างๆ ในกระบวนการปรุงอาหาร โดยเฉพาะความร้อน เป็นต้น

ดังนั้น เราจึงต้อง มีการเพิ่มปริมาณเอนไซม์ให้กับร่างกายของเรา ซึ่งพบว่ามีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน ดังนี้
1. ในวันหนึ่งๆ เราควร รับประทานอาหารจำพวกผักสดและผลไม้สดให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาหารทั้งหมดที่เรารับประทาน เข้าไป เพื่อร่างกายของเราจะได้ไม่ขาดเอนไซม์และสุขภาพร่างกายของเราก็จะดีด้วย
2. หาผลิตภัณฑ์เอนไซม์มาเสริมอาหาร เช่น น้ำหมักเอนไซม์บำบัด เอนไซม์แบบแคปซูล เอนไซม์ผง เป็นต้น มารับประทานเป็นประจำทุกวัน เพื่อเสริมเอนไซม์ที่สูญเสียไป เพื่อให้ร่างกายเราไม่ขาดเอนไซม์และสุขภาพร่างกายเราแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากทาง สวทช. ค่ะ มาพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/friutenzyme?ref=hl
หรือ Line มาสอบถามได้ที่ ID Line: tu-bgood

7 พฤษภาคม 2557

ถามตอบ อาการปวดหัว ปวดร่างกาย หลังดื่มน้ำเอนไซม์

จากคำถามที่พบบ่อย.... ว่า...หลังดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดแล้ว มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยร่างกายมากขึ้น เพราะอะไรค่ะ...

ตอบ...
สำหรับบางท่านที่ดื่ม น้ำพลังเอนไซม์บำบัด เข้าไปแล้ว มีอาการปวดศีรษะ หรือปวดบางแห่งในร่างกาย นั้นเป็นอาการที่บ่งบอกว่า ให้ยินดีกับคุณด้วยว่า ร่างกายคุณมีโอกาสฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้นได้ค่ะ...

ซึ่งก็หมายความว่า....เอ็นไซม์ได้เข้าไปทำปฏิกิริยากับของเสียในร่างกายคุณแล้วค่ะ...
ก็คือ...เมื่อในร่างกายของคุณมีการสะสมของเสียอยู่มาก หรือมีภาวะเลือดข้นเหนียว (ของเสีย ไขมัน สะสมในเลือด) และมีฤทธิ์เป็นกรด (สมดุลกรดด่างในร่างกายเสียไป ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานไม่สมบูรณ์)  ดังนั้นเมื่อรับประทาน น้ำพลังเอนไซม์บำบัด เข้าไปแล้ว เอ็นไซม์จะเข้าไปรวมพลังกับออกซิเจน ในการทำปฏิกิริยาขจัดของเสีย และปรับสมดุลกรดด่างในร่างกาย จึงควรช่วยร่างกายโดยการดื่มน้ำสะอาดตามเข้าไปเยอะ ๆ หลังจากดื่มน้ำเอ็นไซม์แล้ว เพื่อให้เอนไซม์เข้าไปทำปฏิกิริยาปรับสมดุล ขจัดของเสีย ลดการอักเสบของร่างกาย และให้น้ำช่วยชะล้างออกจากร่างกาย ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ให้คืนกลับสมดุล ทำงานได้อย่างปกติ ซึ่งอาการปวดเหล่านี้หลังจากดื่มน้ำเอนไซม์พบได้มาก ในกลุ่มผู้ป่วย โรคเก๊าท์ โรคอัมพฤก อัมพาต มะเร็ง ท้องผูก โรคลำไส้ และผู้ที่มีความเครียดสูง เป็นต้น

ซึ่งหากผู้ป่วยกลุ่มนี้ หลังดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด แล้วมีอาการเช่นนี้ ให้ดีใจได้ค่ะว่่า  การดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดได้ผลดี และสามารถฟื้นตัวจากอาการป่วยได้ แต่หลาย ๆ คนก็มักตกใจว่าตัวเองไม่เป็นโรคอะไร แต่พอดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดเข้าไปแล้ว มีอาการปวดก็ไม่ควรตกใจ นั้นแสดงว่า ภายในร่างกายของคุณมีของเสีย หรือสิ่งสกปรกตกค้างในลำไส้มานานแล้ว จนถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด และถูกส่งไปสะสมตามจุด ๆ ต่าง ของร่างกาย

ดังนั้น ให้พึ่งระลึกไว้เสมอว่า....อาการปวดหลังดื่มเอนไซม์นั้นดีต่อสุขภาพคุณ และวิธีการช่วยเอนไซม์ให้ทำงานได้ดีที่สุด คือ การดื่มน้ำสะอาด มาก ๆ หลังดื่มเอนไซม์ เพื่อให้ร่างกายขับของเสียออกเร็วที่สุด แต่สำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงนั้น เมื่อดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดเข้าไปแล้ว ก็มักไม่เกิดอาการใด ๆ ก็ไม่ต้องเสียใจค่ะ แต่คุณก็สามารถดื่มเอนไซม์เข้าไปเพื่อช่วยเสริมเอ็นไซม์ให้กับร่างกาย ชะลออายุของเซลล์ คงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ค่ะ

ดังนั้นขอสรุปอีกครั้งว่า... หากผู้ป่วยดื่มน้ำเอนไซม์บำบัดไปแล้วมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้น ไม่ต้องตกใจ ให้ยินดีกับตนเองว่า...ร่างกายนั้นตอบสนองต่อเอ็นไซม์ และมีโอกาสฟื้นฟูหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ค่ะ ...

และยังมีกลุ่มอาการอื่น ๆ  ที่แสดงออกว่าร่างกายมีการตอบรับการทำงานของเอนไซม์อีกเช่น  มีอาการง่วงนอน คอแห้ง ปัสสาวะบ่อย ผายลมบ่อย ปวดศีรษะ บางครั้งอาจอาเจียน คันตามตัว มีผื่นขึ้น ปวดเมื่อย ประจำเดือนมามาก ถ่ายเหลวบ่อย ๆ (ซึ่งเป็นการขับของเสีย) นอนไม่หลับในตอนกลางคืน ในช่วงแรกที่เริ่มทานเอนไซม์ แต่อาการเหล่านี้จะเป็นติดต่อกันนานไม่เกิน 1 เดือน ขึ้นกับสภาพความแข็งแรงของร่างกาย แต่ก็พบในบางกรณีที่ผู้ดื่มมีร่างกายที่อ่อนแอมาก เช่น ผู้เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ ก็อาจมีอาการเหล่านี้ข้างต้น นานถึง 2 - 3 เดือน (ตามรอบอายุของเม็ดเลือด) ซึ่งควรทาน น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ให้ครบอย่างน้อย 3 เดือน หรือ 90 วัน ส่วนคนที่ร่างกายฟื้นฟูได้เร็ว ก็จะมีอาการเหล่านี้ไม่เกิน 1 - 2 อาทิตย์ค่ะ

และเน้นอีกครั้งว่า ถ้ามีอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้เกิดขึ้นให้ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ หรือจะลดปริมาณเอนไซม์ลงในช่วงแรกก็ได้ รอจนร่างกายเกิดการปรับตัวก็ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณกลับมาได้ค่ะ...แต่แนะนำไม่ควรหยุดทานเอนไซม์ในช่วงนี้อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะเป็นการทำให้ของเสียกลับเข้าไปตกค้างในเซลลืและอวัยวะ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงได้

และหลังจากผ่านพ้นช่วงอาการเหล่านี้ไปแล้ว ร่างกายจะมีอาการดีขึ้นสุขภาพแข็งแรงขึ้น แต่แนะนำให้ดื่มน้ำเอนไซม์บำบัดต่อเนื่องไป แต่สามารถลดปริมาณที่รับประทานจาก 3 - 4 ครั้งต่อวัน ให้เหลือวันละ 1 -2 ครั้งต่อวัน เพื่อเป็นการเสริมเอนไซม์ ควรคุมสมดุลของร่างกาย และช่วยลดสารพิษที่ตกค้างในร่างกายทำให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยอีกด้วยค่ะ

สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ tusora@gmail.com หรือมาคุยกันที่ https://www.facebook.com/friutenzyme

2 พฤษภาคม 2557

เรื่องเล่าจากผู้ป่วย-เหตุการณ์นั้นในฤดูร้อน

น้ำพลังเอนไซม์บำบัดดับพิษแมงกะพรุนไฟ.....

เหตุการณ์หน้าร้อนในปี 49 ที่ดิฉันไม่เคยลืม ดิฉัน สามี และลูก ๆ อีก 2 คน ครอบครัวเราพากันไปเที่ยวภูเก็ต และไปเที่ยวเกาะ ในวันนั้นอากาศไม่ร้อน ลมพัดเย็นสบายดี ลูก ๆ 2 คนเล่นน้ำอยู่ในทะเล ขณะที่ดิฉันและสามีนั่งดูอยู่ที่ชายหาด

ทันใดนั้น ดิฉันได้ยินเสียงลูกร้อง และสามีวิ่งไปดูลูก ดิฉันลุกมองไปยังสามี ที่ก้มตัวอุ้มลูกขึ้นมา และวิ่งกลับมายังที่ดิฉัน เสียงร้องไห้ของลูกยังดังขึ้น ๆ จนดิฉันใจไม่ดี ร้องถามสามีไปว่าเกิดอะไรขึ้น สามีดิฉันตอบว่า "ลูกถูกแมงกะพรุนไฟ" เมื่อสามีดิฉันอุ้มลูกมาวางที่เตียงชายหาด ดิฉันเห็นลูกร้องไห้ น้ำตาเต็มหน้า และเห็นผิวหนังที่บวมพองแดง น่ากลัวบริเวณขาของลูก ดิฉันตกใจมาก ลูกสาวอีกคนก็วิ่งเข้ามากอดดิฉันและร้องไห้ สามีดิฉันเปิดเอาน้ำดื่มที่เตรียมมาราดลงบริเวณนั้น และร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนบริเวณนั้น

มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามา และพูดอะไรกับสามีดิฉันไม่ทราบ เขาเอาถังน้ำ และร้องเรียกให้สามีดิฉันเอาน้ำเทใส่เข้าไปให้เต็ม และเทน้ำใส ๆ สีน้ำตาล จากขวดที่เอามาใส่เข้าไปในถัง แล้วจับขาลูกชายดิฉันใส่ลงไปแช่ในถังน้ำนั้น ลูกดิฉันยังร้องไห้ไม่หยุด พี่ผู้หญิงก็เอาน้ำจากกระติกที่ติดตัวมาเทให้ลูกชายดิฉันดื่ม และบังคับให้ดื่มไปเรื่อย ๆ ตอนแรกดิฉันก็ตกใจ แต่ก็บอกให้ลูกดื่ม 

คุณพี่ผู้หญิงลุกขึ้นไปคุยกับสามีดิฉัน ขณะที่ดิฉันยังป้อนน้ำในกระติกให้ลูกดื่มอยู่ ซึ่งหลังจากนั้นลูกดิฉันก็หยุดร้องไห้ ดิฉันก็ถามลูกว่ายังปวดอยู่ไหม ลูกชายก็สั่นหน้าตอนนี้ลูกดิฉันหยุดร้องไห้แล้ว เมื่อมองดูที่แผลก็ดูไม่ค่อยแดงบวมน่ากลัวแล้ว ดิฉันจึงบอกให้ลูกสาวอยู่เป็นเพื่อนน้อง

แล้วดิฉันจึงเดินเข้าไปขอบคุณ คุณพี่ผู้หญิงคนนั้น ซึ่งคุณพี่ก็เล่าให้ฟังว่า ลูกชายดิฉันคงโดนแมงกะพรุนไฟ ซึ่งพิษของแมงกระพรุนไฟจะส่งผลให้เกิดการไหม้และอักเสบของเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการปวดบวมอักเสบ ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังไหม้ และเป็นไข้ อาจถึงตายได้

วิธีการที่พี่ใช้รักษาก็คือ พี่ใช้น้ำหมักเอนไซม์ของดร.รสสุคนธ์ บ้านสุขภาพ มาผสมน้ำให้เด็กกินเพื่อลดความร้อน และลดอาการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งแนะนำให้ลูกชายทานไปเรื่อย ๆ ก่อนสัก 2 - 3 วัน ส่วนที่แช่เท้า พี่ใช้น้ำเอนไซม์สำหรับแช่ผัก มาผสมน้ำแช่เท้า เพื่อให้ดูดซึมเข้าทางผิวหนัง และลดอาการอักเสบ ปวดร้อน ซึ่งถ้ามีอาการบวมปวดร้อนอีกก็ให้ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วเขาก็ส่งขวดเอนไซม์ให้กับสามีและดิฉันทั้ง 2 ขวด บอกว่าพี่ให้ อย่าลืมให้ลูกกิน และแช่เท้าแบบนี้ไปสัก 2 - 3 วันนะ หรือจะใช้ชุบกับสำลีและปิดไปที่แผลก็ได้ หลังจากนั้นพี่ผู้หญิงก็เล่่าถึงประโยชน์ของน้ำเอนไซม์อีกมากมาย

ดิฉันและสามีรู้สึกขอบคุณ คุณพี่เป็นอย่างมาก นอกจากจะช่วยเหลือลูกชายของดิฉันไว้แล้ว คำแนะนำนั้นยังช่วยชีวิตของสามีดิฉันที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอีกด้วย ทุกวันนี้ ดิฉัน สามี และลูกทั้งสองคน ก็ยังคงรับประทานน้ำพลังเอนไซม์บำบัด และน้ำผักปั่น ของดร.รสสุคนธ์ อย่างต่อเนื่อง ก็พบว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรง ลูกทั้งสองก็ขับถ่ายดีเป็นปกติ รับประทานอาหารผัก ผลไม้ ได้ง่ายขึ้น สามีก็สุขภาพดีขึ้น จนคุณหมอที่ดูแลยังสงสัยว่าไปทำอะไรมา ผลการตรวจค่าต่าง ๆ ดีขึ้นมาก

เหตุการณ์ครั้งนั้น นำชีวิตของครอบครัวเขาให้เขาสู่ครอบครัวตามวิถีธรรมชาติ และมีสุขภาพที่ดี

ดิฉันยังได้ใช้น้ำเอนไซม์ในการปรุงอาหาร ใช้ฉีดพ่นเป็นสเปร์ยฆ่าเชื้อโรคในห้อง ใช้ผสมน้ำสุดท้ายราดพื้นฆ่าเชื้ออีกด้วย และอีกมากมายในการประยุกต์ใช้เอนไซม์เพื่อสุขภาพ

สนใจเพิ่มเติม สามารถติดต่อพูดคุยกับเราได้ที่ tusora@gmail.com หรือ Line 085-7100612 หรือ fanpage https://www.facebook.com/friutenzyme ได้นะค่ะ