การสังเกต... เป็นหลักการแรกของนักวิทยาศาสตร์ และหลักการแพทย์ทั้งแบบแผนโบราณและแบบแผนปัจจุบัน เป็นการตรวจตราดูแลตนเอง และคนที่รักเพื่อให้มีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดี มีสุข แก้ไขปัญหาของสุขภาพและจิตใจได้ก่อนเกิดความรุนแรงของโรค
วันนี้ทาง บ้านรักษ์สุขภาพ ได้มีโอกาสไปอ่านหนังสือแพทย์ทางเลือกของอาจารย์ท่านหนึ่ง เห็นว่าน่าสนใจมากเลยขออนุญาติในการนำข้อมูลในการสังเกตอาการเบื้องต้นของโรคมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ มาเผยแพร่แก่ผู้เข้าชมเวปไซด์ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ และเป็นกุศลต่อไป
เรามาเรียนรู้ และสังเกตุดูร่างกายของเราไปพร้อม ๆ กันนะค่ะ ว่าเรามีอาการแบบนี้ไหม และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมหรือไม่
เริ่มต้นกันที่ กลุ่มมะเร็งสำหรับผู้หญิงนะค่ะ
1.มะเร็งปากมดลูกอาการ มักมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติ มีเลือดออกนิด ๆ ตลอดเวลา มักมีอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์
หากพบว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาเกิน 2 สัปดาห์ ควรไปพบแพย์ เพื่อทำการตรวจมะเร็งปากมดลูก โดยการขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้อย่างแน่ชัด
2.มะเร็งในมดลูกอาการ มีอาการคือ จะมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง กดเจ็บ หรืออาจไม่เจ็บก็ได้
หากพบว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะถ้าคลำดูแล้วรู้สึกว่ามีก้อน แสดงว่าคุณปล่อยปละละเลยอาการผิดปกตินี้มานานจนก้อนเนื้อใหญ่ขึ้นจนคลำเจอะ ดังนั้นควรไปพบแพทย์แล้วตรวจดูว่าเป็นเนื้อดี หรือเนื้อร้าย เพื่อหาวิธีการรักษาต่อไป
3.มะ เร็งรังไข่ จะมีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ บ้างครั้งมามาก บางครั้งมาน้อย หรือเดือนนี้มีประจำเดือน อีกเดือนอาจไม่มีประจำเดือน หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ และมักมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง เป็นประจำ
หากพบว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องถึง 2 - 3 เดือน คุณควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทันที
4. มะเร็งทรวงอก มักมีอาการคือ จะมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนม มีอาการบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียก ว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
ต่อไปจะเป็นกลุ่มมะเร็งที่พบมากนะค่ะ
5.มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) จะมีอาการ เหนื่อยง่าย และมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ เล็บซีด ปากซีด และมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียวง่าย ใช้ระยะเวลานานกว่าจะหาย หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งจะท้องอืด แน่นท้อง และเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
ซึ่งหากพบว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรไปปรึกษาแพทย์และตรวจเลือดทันทีค่ะ
6.มะเร็งปอดอาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หายใจไม่ค่อยออก อึดอัด หายใจไม่เต็มปอด น้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ บางครั้งเจ็บหน้าอก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หากพบอาการผิดปกติเหล่านี้ใน 1 - 2 วัน ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทันทีค่ะ
7.มะเร็งตับ จะมีอาการปวดในช่องท้องอย่างไม่ทราบสาเหตุ เริ่มเบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง กินไม่อร่อย น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด เนื่องจากน้ำดีถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด
ถ้าพบอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์ทันทีเช่นกันค่ะ
ต่อไปเป็นกลุ่มมะเร็งที่พบได้บ้าง
8.มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ ปัสสาวะมีสีขุ่น ปัสสาวะไม่ค่อยออก ขัด ๆ อาการอื่น ๆ ไม่ชัดเจนค่ะ
9.มะเร็งสมอง อาการปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มี อาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย ให้สงสัยว่าอาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ ให้ไปปรึกษาแพทย์ประจำตัวทันที เพื่อตรวจสอบ และติดตามอาการของโรคค่ะ
-->
10.มะเร็งในช่องปากอาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานาน เหมือนแผลร้อนใน แต่นานก็ไม่หายสักที หรือมีอาการแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบทันทีค่ะ
11.มะเร็งในลำคอ จะมีอาการเสียงแหบพร่าไปทันทีเวลาพูด เหมือนเสียงแหบ ไม่มีเสียง บางครั้งมีก้อนบวมในลำคอทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้ ให้ไปพบแพทย์ทันทีนะค่ะ
12.มะเร็งในกระเพาะอาหาร สังเกตุจากน้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการอาเจียนออกมาเป็นเลือด ท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย ๆ เจ็บท้อง และรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
13.มะเร็งลำไส้ สังเกตุจาก น้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ร่วมกับมีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสด นั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14.มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด
นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างห นึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma ) คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ ควรไปพบแพทย์ที่ปรึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิดค่ะ
30 พฤศจิกายน 2555
28 พฤศจิกายน 2555
การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่าง ๆ ในร่างกาย
การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ในร่างกายเพื่อดูแลและฟื้นฟูไต
ในร่างกายคนมีน้ำอยู่ประมาณ 65%- 70% ซึ่งร่างกายจะต้องรักษาดุลยภาพนี้ไว้ การรักษาดุลยภาพของน้ำในร่างกายทำได้โดยการควบคุมปริมาตรน้ำที่รับเข้าและที่ขับออกจากร่างกาย ซึ่งมีช่องทางและผ่านกระบวนการต่างๆ
ตาราง แสดงปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับและร่างกายขับออกใน 1 วัน
ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ ปริมาณน้ำที่ร่างกายขับออก
1. จากอาหาร 1,000 cm3 1. ลมหายใจออก 350 cm3
2. จากน้ำดื่ม 1,200 cm3 2. ขับเหงื่อ 500 cm3
3. จากปฏิกิริยาในร่างกาย 300 cm3 3. ปัสสาวะ 1,500 cm3
4. อุจจาระ 150 cm3
รวม 2,500 cm3 รวม 2,500 cm3
ในของเหลวที่ร่างกายรับเข้าและที่ขับออกมานั้น นอกจากจะประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ ยังมีเกลือแร่และสารต่างๆ อยู่ด้วย แม้ว่าสารเหล่านี้จะมีปริมาตรน้อยนิดเมื่อเทียบกับปริมาตรของน้ำ แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง และร่างกายต้องรักษาสมดุลต่างๆ ดังกล่าวไว้ให้ได้เพื่อให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ อวัยวะสำคัญในการรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ในร่างกายคือไต ซึ่งมีโครงสร้างและการทำงานร่วมกับอวัยวะอื่น
ไต (kidney) โครงสร้างไต ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น หน่วยไต ชั้นนอก เรียกว่า คอร์ดเทกซ์ (cortex) ชั้นในเรียกว่า เมดัลลา (medulla) ภายในไตประกอบด้วย หน่วยไต (nephron) มีลักษณะเป็นท่อขดอยู่หลอดเลือดฝอยเป็นกระจุกอยู่เต็มไปหมด
ไตมีลักษณะคล้ายถั่ว มีขนาดประมาณ 10 กว้าง 6 เซนติเมตร และหนาประมาณ 3 เซนติเมตร มีสีแดงแกมน้ำตาลมีเยื่อหุ้มบางๆ ไตมี 2 ข้างซ้ายและขวา บริเวณด้านหลังของช่องท้อง ใกล้กระดูกสันหลังบริเวณเอว บริเวณส่วนที่เว้า เป็นกรวยไต มีหลอดไตต่อไปยังมีกระเพาะปัสสาวะ
หน้าที่ของไต
1. ขับถ่ายของเสีย ซึ่งเกิดจากเมแทบอลิซึมของร่างกาย เช่น ยูเรีย (urea) จากโปรตีน กรดยูริกจากกรดิวคลีอิก ครีเอทินีน (creatinine) จากครีเอทีน (creatine) ในกล้ามเนื้อ
2. ดูดกลับสารบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น กลูโคส โดยการดูดกลับในขณะอดอาหารไตสามารถสังเคราะห์กลูโคสจากกรดอะมิโนหรือสารอื่นได้ช่วยสร้างน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้มากถึงร้อยละ 20 ของจำนวนน้ำตาลที่สร้างจากตับ
3. ควบคุมสมดุลน้ำ และอิเล็กโทรไลต์ของร่างกายให้อยู่ในลักษณะที่พอเหมาะ โดยการดูดน้ำกลับที่ท่อหน่วยไตทำให้น้ำปัสสาวะเข้มข้นขึ้นควบคุมการขับถ่ายไอออนต่างๆออกทางน้ำปัสสาวะ เช่น Na+ , K+ เป็นต้นให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม
4. ควบคุมความเป็นกรดเบสของของเหลวในร่างกายโดยการขับไฮโดรเจนไอออน (H+) เข้าสู่ท่อหน่วยไตและดูดไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน กลับเข้าสู่เลือด
5. สร้างสารบางชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ฮอร์โมนอิรีโทรเจนีน (erthrogenin) ซึ่งรวมตัวกับโปรตีนโกลบูลินเป็นฮอร์โมนอิรีโทรพอยอิติน (erythropoietin) กระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ไตยังสร้างฮอร์โมนเรนิน (renin) ซึ่งมีผลในการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน (aldosterone) ของต่อมหมวกไตส่วนนอกเพื่อควบคุมการดูดกลับของโซเดียมไอออนที่ท่อหน่วยไตด้วย
6. ขับสารแปลกปลอมที่ร่างกายรับมาออกจากร่างกายทางปัสสาวะ เช่น ยารักษาโรค สารเคมีในอาหาร
ไตกับการรักษาสมดุลของน้ำ
ในสภาพที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไปหรือร่างกายขาดน้ำจะมีผลทำให้น้ำในเลือดน้อยหรือแรงดันออสโมติกของเลือดสูง(เลือดมีความเข้มข้นสูง) เลือดที่มีแรงดันออสโมติกสูงนี้เมื่อผ่านเข้าไปที่ไฮโปทาลามัส จะไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนท้ายให้หลั่งฮอร์โมน ADH หรือฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก(antidiuretic hormone) เข้าสู่กระแสเลือด แล้วไปกระตุ้นท่อของหน่วยไตให้ดูดน้ำกลับคืนเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ปริมาณของน้ำในเลือดสูงขึ้น และร่างกายมีการขับถ่ายน้ำปัสสาวะลดลงและเข้มข้นขึ้น
ในทางตรงข้าม ถ้าเลือดมีปริมาณน้ำมากหรือแรงดันออสโมติกของเลือดต่ำ (เลือดมีความเข้มข้นต่ำ) จะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน ADH ออกมา ท่อของหน่วยไตและท่อรวมจะดูดน้ำกลับคืนน้อยลง ปริมาณน้ำปัสสาวะย่อมมีมากขึ้น ร่างกายจึงขับถ่ายปัสสาวะมากและเจือจางนอกจากนี้ร่างกายมีกลไกที่จะลดการสูญเสียน้ำด้วยกระบวนการดูดกลับที่ท่อของหน่วยไตและมีกลไกที่จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความต้องการน้ำเพื่อรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายโดยเมื่อร่างกายมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกาย มากๆและภาวะขาดน้ำของร่างกายจะไปกระตุ้นศูนย์ควบคุมการกระหายน้ำที่ไฮโพทาลามัส ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกหรืออาการกระหายน้ำขึ้นมาความรู้สึกกระหายน้ำจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ตราบเท่าที่ร่างกายยังมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายเรื่อยๆ
การดูดกลับของสารที่ไตเกิดขึ้นโดยอาศัย 2 กระบวนการ คือ
- ACTIVE TRANSPORT เป็นการดูดกลับของสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เช่น กลูโคส วิตามิน กรดอะมิโน ฮอร์โมน และอิออนต่างๆ
- OSMOSIS เป็นการดูดกลับของน้ำ
ดังนั้น การดูแลฟื้นฟูรักษาไต ตามหลักของธรรมชาติบำบัด นั้น จึงมีหลักการง่าย ๆ ดังนี้
1. การดื่มน้ำสะอาด ในปริมาณที่เหมาะสม และอุณหภูมิที่เหมาะสม (35 - 38 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิของร่างกายคือ 36 -37 องศาเซลเซียส)
สูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะกับคุณ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดสูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของ แต่ละคน ใน แต่ละวันไว้ดังนี้ น้ำหนักตัว (ก.ก.)/2 x 2.2 x30 = … C.C. (1000 C.C. = 1 ลิตร, 1 ลิตร = 5 แก้ว)
สมมติว่ามีน้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม 55/2 x 2.2 x 30 = 1815 C.C. 1815 C.C. = 1.8 ลิตร 1.8 ลิตร = 9 แก้ว เมื่อทราบปริมาณน้ำดื่มต่อวันแล้ว จะต้องมีเทคนิคในการดื่มน้ำให้เกิดประโยชน์กับร่างกายมากที่สุดด้วย เทคนิคง่ายๆ ที่ว่านั้นมีกฏอยู่ 2 ข้อคือ
กฏข้อ 1. หลังตื่นนอน ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำทันที 2-5 แก้ว เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น ไม่ใช่น้ำเย็น ที่ต้องดื่มตอนเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายขับสารพิษได้ดีที่สุด
กฎข้อ 2. ดื่มน้ำแต่น้อยระหว่างรับประทานอาหาร ไม่ควรเกิน 1 แก้ว หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาทีจึงค่อยดื่มน้ำตาม เพื่อให้กระเพาะย่อยอาหารได้เต็มที่ ที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะจะไปรบกวนการย่อย
ข้อควรจำ
• ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบายๆ ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปรกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น หากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก
• ระยะแรก จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด
• อย่าดื่มน้ำมากก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหาร ( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร) และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี
• การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควร อิ่มจนแน่นท้องเกินไปควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง จึงดื่มน้ำตามปรกติ
2. การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโปรตีนสูง หรืออาหารหมักดองเค็ม อาหารรสเค็ม ซีอิ้ว กาแฟ มะเขือเทศ ชา ผักขม แอลกอฮอล์ พริกรสเผ็ดจัด เพราะเป็นอาหารที่ล้วนแล้วแต่ทำให้ไตทำงานหนัก และดูดน้ำจากไต ทำให้เซลล์ไตอ่อนแอ
3. ปรับอารมณ์ให้ดี ไม่กังวล หรือวิตกกังวลเกินเหตุ เพราะความกังวลทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่ง และมีผลต่อการทำงานของไต
4. หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ หรืออยู่ในที่เย็นจัด ร้อนจัด เกินไป
5. ทานอาหารเสริมบำรุงไต เช่น น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร Multi fruit Enzyme, วิตามินซี, น้ำผักปั่น (ลดปริมาณมะเขือเทศ), น้ำองุ่นดำ, น้ำกะหล่ำปลี เป็นต้น
ในร่างกายคนมีน้ำอยู่ประมาณ 65%- 70% ซึ่งร่างกายจะต้องรักษาดุลยภาพนี้ไว้ การรักษาดุลยภาพของน้ำในร่างกายทำได้โดยการควบคุมปริมาตรน้ำที่รับเข้าและที่ขับออกจากร่างกาย ซึ่งมีช่องทางและผ่านกระบวนการต่างๆ
ตาราง แสดงปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับและร่างกายขับออกใน 1 วัน
ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ ปริมาณน้ำที่ร่างกายขับออก
1. จากอาหาร 1,000 cm3 1. ลมหายใจออก 350 cm3
2. จากน้ำดื่ม 1,200 cm3 2. ขับเหงื่อ 500 cm3
3. จากปฏิกิริยาในร่างกาย 300 cm3 3. ปัสสาวะ 1,500 cm3
4. อุจจาระ 150 cm3
รวม 2,500 cm3 รวม 2,500 cm3
ในของเหลวที่ร่างกายรับเข้าและที่ขับออกมานั้น นอกจากจะประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ ยังมีเกลือแร่และสารต่างๆ อยู่ด้วย แม้ว่าสารเหล่านี้จะมีปริมาตรน้อยนิดเมื่อเทียบกับปริมาตรของน้ำ แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง และร่างกายต้องรักษาสมดุลต่างๆ ดังกล่าวไว้ให้ได้เพื่อให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ อวัยวะสำคัญในการรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ในร่างกายคือไต ซึ่งมีโครงสร้างและการทำงานร่วมกับอวัยวะอื่น
ไต (kidney) โครงสร้างไต ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น หน่วยไต ชั้นนอก เรียกว่า คอร์ดเทกซ์ (cortex) ชั้นในเรียกว่า เมดัลลา (medulla) ภายในไตประกอบด้วย หน่วยไต (nephron) มีลักษณะเป็นท่อขดอยู่หลอดเลือดฝอยเป็นกระจุกอยู่เต็มไปหมด
ไตมีลักษณะคล้ายถั่ว มีขนาดประมาณ 10 กว้าง 6 เซนติเมตร และหนาประมาณ 3 เซนติเมตร มีสีแดงแกมน้ำตาลมีเยื่อหุ้มบางๆ ไตมี 2 ข้างซ้ายและขวา บริเวณด้านหลังของช่องท้อง ใกล้กระดูกสันหลังบริเวณเอว บริเวณส่วนที่เว้า เป็นกรวยไต มีหลอดไตต่อไปยังมีกระเพาะปัสสาวะ
หน้าที่ของไต
1. ขับถ่ายของเสีย ซึ่งเกิดจากเมแทบอลิซึมของร่างกาย เช่น ยูเรีย (urea) จากโปรตีน กรดยูริกจากกรดิวคลีอิก ครีเอทินีน (creatinine) จากครีเอทีน (creatine) ในกล้ามเนื้อ
2. ดูดกลับสารบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น กลูโคส โดยการดูดกลับในขณะอดอาหารไตสามารถสังเคราะห์กลูโคสจากกรดอะมิโนหรือสารอื่นได้ช่วยสร้างน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้มากถึงร้อยละ 20 ของจำนวนน้ำตาลที่สร้างจากตับ
3. ควบคุมสมดุลน้ำ และอิเล็กโทรไลต์ของร่างกายให้อยู่ในลักษณะที่พอเหมาะ โดยการดูดน้ำกลับที่ท่อหน่วยไตทำให้น้ำปัสสาวะเข้มข้นขึ้นควบคุมการขับถ่ายไอออนต่างๆออกทางน้ำปัสสาวะ เช่น Na+ , K+ เป็นต้นให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม
4. ควบคุมความเป็นกรดเบสของของเหลวในร่างกายโดยการขับไฮโดรเจนไอออน (H+) เข้าสู่ท่อหน่วยไตและดูดไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน กลับเข้าสู่เลือด
5. สร้างสารบางชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ฮอร์โมนอิรีโทรเจนีน (erthrogenin) ซึ่งรวมตัวกับโปรตีนโกลบูลินเป็นฮอร์โมนอิรีโทรพอยอิติน (erythropoietin) กระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ไตยังสร้างฮอร์โมนเรนิน (renin) ซึ่งมีผลในการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน (aldosterone) ของต่อมหมวกไตส่วนนอกเพื่อควบคุมการดูดกลับของโซเดียมไอออนที่ท่อหน่วยไตด้วย
6. ขับสารแปลกปลอมที่ร่างกายรับมาออกจากร่างกายทางปัสสาวะ เช่น ยารักษาโรค สารเคมีในอาหาร
ไตกับการรักษาสมดุลของน้ำ
ในสภาพที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไปหรือร่างกายขาดน้ำจะมีผลทำให้น้ำในเลือดน้อยหรือแรงดันออสโมติกของเลือดสูง(เลือดมีความเข้มข้นสูง) เลือดที่มีแรงดันออสโมติกสูงนี้เมื่อผ่านเข้าไปที่ไฮโปทาลามัส จะไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนท้ายให้หลั่งฮอร์โมน ADH หรือฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก(antidiuretic hormone) เข้าสู่กระแสเลือด แล้วไปกระตุ้นท่อของหน่วยไตให้ดูดน้ำกลับคืนเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ปริมาณของน้ำในเลือดสูงขึ้น และร่างกายมีการขับถ่ายน้ำปัสสาวะลดลงและเข้มข้นขึ้น
ในทางตรงข้าม ถ้าเลือดมีปริมาณน้ำมากหรือแรงดันออสโมติกของเลือดต่ำ (เลือดมีความเข้มข้นต่ำ) จะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน ADH ออกมา ท่อของหน่วยไตและท่อรวมจะดูดน้ำกลับคืนน้อยลง ปริมาณน้ำปัสสาวะย่อมมีมากขึ้น ร่างกายจึงขับถ่ายปัสสาวะมากและเจือจางนอกจากนี้ร่างกายมีกลไกที่จะลดการสูญเสียน้ำด้วยกระบวนการดูดกลับที่ท่อของหน่วยไตและมีกลไกที่จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความต้องการน้ำเพื่อรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายโดยเมื่อร่างกายมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกาย มากๆและภาวะขาดน้ำของร่างกายจะไปกระตุ้นศูนย์ควบคุมการกระหายน้ำที่ไฮโพทาลามัส ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกหรืออาการกระหายน้ำขึ้นมาความรู้สึกกระหายน้ำจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ตราบเท่าที่ร่างกายยังมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายเรื่อยๆ
การดูดกลับของสารที่ไตเกิดขึ้นโดยอาศัย 2 กระบวนการ คือ
- ACTIVE TRANSPORT เป็นการดูดกลับของสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เช่น กลูโคส วิตามิน กรดอะมิโน ฮอร์โมน และอิออนต่างๆ
- OSMOSIS เป็นการดูดกลับของน้ำ
ดังนั้น การดูแลฟื้นฟูรักษาไต ตามหลักของธรรมชาติบำบัด นั้น จึงมีหลักการง่าย ๆ ดังนี้
1. การดื่มน้ำสะอาด ในปริมาณที่เหมาะสม และอุณหภูมิที่เหมาะสม (35 - 38 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิของร่างกายคือ 36 -37 องศาเซลเซียส)
สูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะกับคุณ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดสูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของ แต่ละคน ใน แต่ละวันไว้ดังนี้ น้ำหนักตัว (ก.ก.)/2 x 2.2 x30 = … C.C. (1000 C.C. = 1 ลิตร, 1 ลิตร = 5 แก้ว)
สมมติว่ามีน้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม 55/2 x 2.2 x 30 = 1815 C.C. 1815 C.C. = 1.8 ลิตร 1.8 ลิตร = 9 แก้ว เมื่อทราบปริมาณน้ำดื่มต่อวันแล้ว จะต้องมีเทคนิคในการดื่มน้ำให้เกิดประโยชน์กับร่างกายมากที่สุดด้วย เทคนิคง่ายๆ ที่ว่านั้นมีกฏอยู่ 2 ข้อคือ
กฏข้อ 1. หลังตื่นนอน ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำทันที 2-5 แก้ว เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น ไม่ใช่น้ำเย็น ที่ต้องดื่มตอนเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายขับสารพิษได้ดีที่สุด
กฎข้อ 2. ดื่มน้ำแต่น้อยระหว่างรับประทานอาหาร ไม่ควรเกิน 1 แก้ว หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาทีจึงค่อยดื่มน้ำตาม เพื่อให้กระเพาะย่อยอาหารได้เต็มที่ ที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะจะไปรบกวนการย่อย
ข้อควรจำ
• ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบายๆ ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปรกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น หากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก
• ระยะแรก จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด
• อย่าดื่มน้ำมากก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหาร ( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร) และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี
• การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควร อิ่มจนแน่นท้องเกินไปควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง จึงดื่มน้ำตามปรกติ
2. การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโปรตีนสูง หรืออาหารหมักดองเค็ม อาหารรสเค็ม ซีอิ้ว กาแฟ มะเขือเทศ ชา ผักขม แอลกอฮอล์ พริกรสเผ็ดจัด เพราะเป็นอาหารที่ล้วนแล้วแต่ทำให้ไตทำงานหนัก และดูดน้ำจากไต ทำให้เซลล์ไตอ่อนแอ
3. ปรับอารมณ์ให้ดี ไม่กังวล หรือวิตกกังวลเกินเหตุ เพราะความกังวลทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่ง และมีผลต่อการทำงานของไต
4. หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ หรืออยู่ในที่เย็นจัด ร้อนจัด เกินไป
5. ทานอาหารเสริมบำรุงไต เช่น น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร Multi fruit Enzyme, วิตามินซี, น้ำผักปั่น (ลดปริมาณมะเขือเทศ), น้ำองุ่นดำ, น้ำกะหล่ำปลี เป็นต้น
16 พฤศจิกายน 2555
เอนไซม์ช่วยให้ร่างกายรักษาตนเองจริงหรือไม่
เอนไซม์ คืออะไร
เอนไซม์ เป็นโปรตีนกลุ่มหนึ่ง ทำหน้าที่ในการเร่งปฏิกิริยาชีวเคมีในร่างกายเรา หากไม่มีเอนไซม์เราก็ไม่สามารถย่อยอาหาร หรือดูดซึมอาหารเข้าสู่เซลล์ได้ เอนไซม์จะทำงานร่วมกับโคเอนไซม์
โคเอนไซม์ คือ วิตามินและเกลือแร่ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการทำปฏิกิริยาต่าง ๆ ในร่างกาย ถ้ามีเอนไซม์แต่ไม่มีวิตามินหรือเกลือแร่ เอนไซม์ก็ทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ หรือมีประสิทธิภาพต่ำ ดังนั้น การเสริมเอนไซม์จึงมักต้องเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุเข้าไปด้วย เพื่อช่วยร่างกายในการปรับสมดุลและรักษาตนเอง
ดร.เอ็ดเวิร์ด โฮเวล นักโภชนาการชาวอเมริกา กล่าวว่า "เอนไซม์คือขุมพลังแห่งชีวิต เอนไซม์ดี ร่างกายก็สุขภาพดี"
การทำงานของเอนไซม์ต่อร่างกายเรา กล่าวรวม ๆ ได้ดังนี้
1. เอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร
2. เอนไซม์ช่วยสลายโมเลกุลของสารพิษ
3. เอนไซม์ช่วยทำความสะอาดเลือด
4. เอนไซม์เสริมสร้างและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
5. เอนไซม์สร้างกล้ามเนื้อ
6. เอนไซม์ช่วยกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอด
7. เอนไซม์ช่วยลดการทำงานของตับอ่อน และอวัยวะอื่น ๆ
เอนไซม์ที่ได้จากอาหาร ผัก ผลไม้ มี 7 ชนิดหลัก คือ
1. ไลเปส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายไขมัน
2. โปรติเอส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายโปรตีน
3. เซลลูเลส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายกากใย
4. อะมิเลส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายแป้ง
5. แลกเทส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายนม
6. ซูเครส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายน้ำตาล
7. มอลเทส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายธัญพืช
ทำไหมเราต้องเสริมเอนไซม์เพื่อสุขภาพของตนเอง
-->
ภาวะการขาดเอนไซม์ หรือเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
-->
เอนไซม์ เป็นโปรตีนกลุ่มหนึ่ง ทำหน้าที่ในการเร่งปฏิกิริยาชีวเคมีในร่างกายเรา หากไม่มีเอนไซม์เราก็ไม่สามารถย่อยอาหาร หรือดูดซึมอาหารเข้าสู่เซลล์ได้ เอนไซม์จะทำงานร่วมกับโคเอนไซม์
โคเอนไซม์ คือ วิตามินและเกลือแร่ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการทำปฏิกิริยาต่าง ๆ ในร่างกาย ถ้ามีเอนไซม์แต่ไม่มีวิตามินหรือเกลือแร่ เอนไซม์ก็ทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ หรือมีประสิทธิภาพต่ำ ดังนั้น การเสริมเอนไซม์จึงมักต้องเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุเข้าไปด้วย เพื่อช่วยร่างกายในการปรับสมดุลและรักษาตนเอง
ดร.เอ็ดเวิร์ด โฮเวล นักโภชนาการชาวอเมริกา กล่าวว่า "เอนไซม์คือขุมพลังแห่งชีวิต เอนไซม์ดี ร่างกายก็สุขภาพดี"
การทำงานของเอนไซม์ต่อร่างกายเรา กล่าวรวม ๆ ได้ดังนี้
1. เอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร
2. เอนไซม์ช่วยสลายโมเลกุลของสารพิษ
3. เอนไซม์ช่วยทำความสะอาดเลือด
4. เอนไซม์เสริมสร้างและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
5. เอนไซม์สร้างกล้ามเนื้อ
6. เอนไซม์ช่วยกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอด
7. เอนไซม์ช่วยลดการทำงานของตับอ่อน และอวัยวะอื่น ๆ
เอนไซม์ที่ได้จากอาหาร ผัก ผลไม้ มี 7 ชนิดหลัก คือ
1. ไลเปส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายไขมัน
2. โปรติเอส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายโปรตีน
3. เซลลูเลส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายกากใย
4. อะมิเลส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายแป้ง
5. แลกเทส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายนม
6. ซูเครส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายน้ำตาล
7. มอลเทส ทำหน้าที่ในการย่อยสลายธัญพืช
ทำไหมเราต้องเสริมเอนไซม์เพื่อสุขภาพของตนเอง
เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้นอวัยวะในการผลิตเอนไซม์ต่าง ๆ จะเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้ร่างกายมีการผลิตเอนไซม์น้อยลง ทำให้เกิดภาวะตกค้างของของเสียในร่างกาย และภาวะเซลล์ต่าง ๆ ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้น ตลอดจน ภาวะทุกขโภชนา การทานอาหารที่ขาดเอนไซม์ หรือมีเอนไซม์น้อย เช่น อาหารที่ปรุงสุกเกินไปเอนไซม์ถูกทำลาย อาหารที่ย่อยสลายยากเช่น เนื้อสัตว์ใหญ่ ตลอดจนอาการของโรคต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการสร้างเอนไซม์ เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคต่อมทอลซิล เป็นต้น
ภาวะการขาดเอนไซม์ หรือเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
1. โรคอ้วน มีการสะสมของไขมันจำนวนมาก เพราะขาดเอนไซม์ในการย่อยสลายไขมัน ตลอดจนขาดการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายนำไขมันสะสมไปใช้
2. โรคเบาหวาน ตับอ่อนไม่สามารถผลิตเอนไซม์ไปย่อยน้ำตาลหรือนำน้ำตาลไปใช้ได้ ทำให้เกิดภาวะสะสมน้ำตาลในกระแสเลือด หรือตับอ่อนเสื่อมสภาพตามกรรมพันธุ์
3. โรคไขมันสูง ร่างกายไม่สามารถนำย่อยสลายไขมัน และนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงานไปใช้ได้ ทำให้เกิดการสะสมไขมันตามส่วนต่าง ๆ และในกระแสเลือด
4. โรคความดันสูง ร่างกายขาดเอนไซม์ ส่งผลให้ของเสียในเลือดตกค้างอยู่มาก เลือดมีภาวะหนืด เหนียว ทำให้หัวใจทำงานหนักทำให้การบีบและคลายตัวของหัวใจผิดปกติ
5. โรคหัวใจ ดังกล่าวข้อ 4
6. โรคอื่น ๆ เป็นต้น
ดังนั้น การเสริมเอนไซม์เพื่อสุขภาพจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยให้ร่างกายรักษาตนเองได้จริง....
หลักการทานเอนไซม์ที่ถูกต้อง
1. การทานก่อนอาหาร ขณะท้องว่าง เอนไซม์ แร่ธาตุ และวิตามิน ในน้ำหมักเอนไซม์บำบัด จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ช่วยในการทำความสะอาดเลือด กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
2. การทานพร้อมอาหาร หรือหลังอาหาร เอนไซม์ แร่ธาตุ และวิตามิน จะช่วยในการเร่งปฏิกิริยาการย่อยสลายอาหารในระบบทางเดินอาหาร และช่วยในการดูดซึมอาหารเข้าสู่ร่างกาย
ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า การย่อยอาหารที่สมบูรณ์ (เพราะมีเอนไซม์) ช่วยลดอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง และมีเหตุผล
สนใจเรื่องเอนไซม์เพิ่มเติม ติดต่อสอบถามที่ tusora@hotmail.com
13 พฤศจิกายน 2555
แนะนำผัก ผลไม้ ป้องกัน โรคมะเร็ง
การรับประทาน ผัก ผลไม้ ป้องกัน มะเร็ง ตามหลักของโภชนาการบำบัด และแพทย์แผนไทย มีการระบุสรรพคุณของ ผัก ผลไม้ ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ไว้ดังนี้
-->
1. อโวคาโด มีสารต้านมะเร็งตับ
2. บร็อกโคลี่ มีสารลดการเกิดมะเร็งเต้านม
3. กระหล่ำปลี ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง
4. แครอท ลดการเกิดมะเร็งปอด มะเร็งลำคอ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม แต่มีคำเตือนว่าไม่ควรรับประทานเป็นสารสกัด เช่น น้ำสกัดแครอท ติดต่อกันนาน เพราะบางตำราพบว่าเป็นสารก่อมะเร็งตับ
5. ผักกะหล่ำ ช่วยต้านการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
6. กระเทียม เพิ่มภูมิต้านทานการต่อสู้กับมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร
7. ผลไม้จำพวกส้ม ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม
8. องุ่น ป้องกันการเกิดมะเร็ง
9. ขิง ช่วยป้องกันมะเร็ง
10. เห็ด เพิ่มภูมิคุ้มกัน และลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
11. ถั่ว ลดการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก
12. มะนาว ป้องกันการเกิดมะเร็ง
13. มะละกอ ยับยั้งการเกิดมะเร็งปากมดลูก
14.ถั่วเหลือง ลดการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
15. มะเขือเทศ ช่วยลดการเกิดมะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่
16. ขมิ้นชั้น ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า มีผัก ผลไม้ หลายชนิดที่ช่วยในการป้องกันมะเร็ง ดังนั้น เราควรเลือกทานอาหาร ที่มี ผัก ผลไม้ ในแต่ละมื้อ เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งนะค่ะ แต่อย่าลืมว่า เราก็ไม่ควรทานอาหารอย่างใด อย่างหนึ่งเป็นประจำมากจนเกินไป เพราะร่างกายอาจย่อยไม่ได้ และเหลือเป็นของเสียตกค้างในร่างกาย จนทำให้เกิดเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุดนะค่ะ
ดังนั้น การเลือกบริโภคอาหารแต่เพียงพอ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป จึงเป็นหลักการดูแลป้องกันร่างกายให้ปราศจากโรคได้ดีที่สุด ตามแนวทางของแพทย์ทางเลือกค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)