google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

28 มีนาคม 2555

การบำบัดและป้องกันคอเลสเตอรอล

ในแนวทางธรรมชาติบำบัด การดูแลผู้ป่วยที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง คือการปรับปรุงพฤติกรรมการบริโภค และการใช้หลักโภชนาการบำบัด โดยปกติร่างกายของมนุษย์สามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองโดยตับ และยังได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารด้วย แม้ว่าร่างกายต้องการคอเลสเตอรอลในการทำปฏิกิริยาชีวเคมีบ้าง แต่ระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงเกินไป คือ สาเหตุของโรคหัวใจ โรคอ้วน โรคหลอดเลือดตีบตัน โรคเบาหวาน
cholesterol

วิธีการบำบัดและป้องกันคอเลสเตอรอลด้วยหลักโภชนาการบำบัด
1. การรับประทานมะเขือเปราะวันละ 4 –5 ลูก จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและทำให้หลอดเลือดแข็งแรง
2. การรับประทานส้มวันละ 1 ผล สารเพกทินและฟลาโวโนนในส้มจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้
3. การรับประทานเมล็ดฟักทองวันละ 1 ช้อนโต๊ะ ไฟโทสเทอรอลในเมล็ดฟักทอง จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้
4. การทานหน่อไม้ฝรั่งต้มวันละ  20 – 25 ต้น สารฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ในหน่อไม้ฝรั่ง จะช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้
5. การรับประทานนมธัญพืช เช่น นมถั่วเหลือง นมข้าวโอ๊ต จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ถึงร้อยละ 10
6. การรับประทานหอมหัวใหญ่ ในอาหารประเภทต้ม ยำ ผักสลัด สารฟลาโวนอลในหอมหัวใหญ่ จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้
7. การใช้น้ำมันมะกอกแทนน้ำมันพืชชนิดอื่นในการประกอบอาหารจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้
8. การรับประทานน้ำนมข้าวกล้องผสมธัญพืช ที่ประกอบด้วย ข้าวกล่ำแดงงอก ถั่วแดง ถั่วเขียว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด เป็นประจำทุกวัน วันละ 3 แก้ว ก่อนอาหารทุกมื้อ สารฟีโนลิค จำพวก ไทโคพีรอล ไทโคไตรอีนอล และสาร GABA จะช่วยลดระดับความดัน คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และน้ำตาลในเลือด และช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างได้ผล
9. การดื่มน้ำเอนไซม์สูตรเข้มข้น Premier Fruit Enzyme ผสมในน้ำ 1 ช้อนชา กับน้ำดื่ม 1 ลิตร ดื่มแทนน้ำเปล่าเป็นประจำ ช่วยในการย่อยสลายคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด

หมายเหตุ งดการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิด เพื่อให้ได้ผลในการรักษาบำบัดที่ดี

19 มีนาคม 2555

น้ำหมักชีวภาพ (น้ำเอนไซม์) กับไวน์ ต่างกันอย่างไร ?

น้ำหมักชีวภาพ (น้ำเอนไซม์) ใช้สำหรับดื่มกินเป็นสารละลายที่อุดมไปด้วยสารอาหาร จำพวกโปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค ตลอดจนพวกกรดอะมิโน (Amino acid) และ อะเซทิลโคเอ (Acetyl CoA) ที่ได้จากหมักผลไม้นานาชนิดในระยะเวลานานกว่า 4 ปี โดยอาศัยจุลินทรีย์ท้องถิ่น หลากหลายชนิด ที่ปะปนอยู่ในวัตถุดิบ หรือในกระบวนการหมัก เพื่อเปลี่ยนผลไม้ และน้ำผึ้ง ให้ได้ผลผลิตตามต้องการ

ซึ่งในระยะเริ่มแรกจะได้ผลิตภัณฑ์เป็นแอลกอฮอล์ สังเกตุได้จากมีกลิ่นฉุน มีแก๊ซเยอะ ระยะต่อมาได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำส้มสายชู (รสเปรี้ยว กลิ่นเปรี้ยวหอม) อีกระยะหนึ่งเป็นยาธาตุ (รสขม เปรี้ยวขม กลิ่นหอมคงที) ในที่สุดก็ได้เป็นน้ำหมักชีวภาพ (ที่เราเรียกว่าน้ำเอ็นไซม์) ซึ่งใช้เวลาหมักขยายประมาณ 2 ปีขึ้นไป แต่กรณีจะนำไปดื่มกิน ควรผ่านการหมักขยายเป็นเวลา 6 ปีขึ้นไปจะให้คุณค่าของสารอาหารดีกว่า ตลอดจนแอลกอฮอล์ต่ำเพียงพอที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย

ไวน์ (WINE) เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้จากการหมักองุ่น (ไวน์แดงทำจากองุ่นแดง ไวน์ขาวทำจากองุ่นเขียว) โดยกระบวนการหมักต้องการผลิตภัณฑ์คือ แอลกอฮอล์ และจะใช้เชื้อยีสต์บริสุทธิ์ เช่น แชคคาโรมัยซีส (Saccharomyces cerevisiae ) เป็นเชื้อตั้งต้น เพื่อควบคุมกระบวนการหมักให้เปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ กับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งทั้งกระบวนการหมักต้องควบคุมเชื้อ และความสะอาด ทั้งผลไม้ น้ำตาล และ ภาชนะ จะผ่านการฆ่าเชื้อก่อนทุกขั้นตอน

สรุปว่า น้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) กับไวน์ต่างกัน ทั้งเจตนาในการหมัก เพื่อจะให้ได้ผลผลิต กระบวนการหมัก การควบคุมเชื้อจุลินทรีย์และความปลอดภัยในการบริโภค

น้ำหมักชีวภาพ (น้ำเอนไซม์) แบ่งตามการใช้งานได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. ใช้อุปโภค หรือใช้ภายนอก ได้แก่ น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน สบู่น้ำ แชมพูสระผม น้ำยาล้างรถ น้ำยาดับกลิ่น ปุ๋ยน้ำ แก้สิวฝ้า น้ำยาบ้วนปาก ฯลฯ

2. ใช้บริโภค  หรือใช้ภายใน ได้แก่ น้ำหมักชีวภาพ(น้ำเอนไซม์)ใช้ดื่มกิน สมุนไพรหมักใช้เป็นยา ฯลฯ

ปัญหาของน้ำหมักชีวภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการนำไปดื่มกิน เมื่อได้น้ำหมักชีวภาพ ในขั้นต้น (ระยะการหมักเพียง 3, 6, 9, 12 เดือน) แล้ว นำไปดื่มกิน เนื่องจากความรู้ที่ไม่ชัดเจน และมีการเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ หรือการผลิตเพื่อเน้นการขาย แม้เอนไซม์ที่ได้เหล่านั้น จะมีคุณสมบัติช่วยในระบบการย่อย และการขับถ่ายดีขึ้นก็ตาม แต่น้ำหมักชีวภาพ (น้ำเอนไซม์) ในช่วงนี้มีสภาพเป็น แอลกอฮอล์ และมีแอลกอฮอล์อยู่มาก (คล้ายไวน์) สังเกตได้โดยการดมกลิ่น ชิมรส ถ้าดื่มแล้วมีอาการร้อนวูบวาบ ลงท้องแล้ว ตีกลับขึ้นหัว กระจายไปทั่วตัว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทาน หรือทำให้บางคนมีอาการมึนงงหรือปวดหัว อาจเป็นสาเหตุว่ามีแอลกอฮอล์ปนเปื้อนอยู่ได้

ผลเสียของการดื่มน้ำหมักชีวภาพแบบเข้มข้นที่เกิดขึ้น ทำให้ฟันผุกร่อน เนื้อฟันบาง เพราะน้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) มีสภาพเป็นกรดสูง วัด pH ได้ 3-4 กรดจะกัดกร่อนเนื้อฟัน (แคลเซียม) ทำให้ฟันเสียได้ ฉะนั้นการดื่มกินน้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) แบบเข้มข้นจึงควรหลีกเลี่ยง เราควรผสมน้ำเปล่าให้เจือจางก่อน น้ำหมัก ชีวภาพ (เอ็นไซม์) 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว (ลองนึกเปรียบเทียบกับปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ เวลาเราใช้รดน้ำต้นไม้ จะผสมน้ำให้เจือจาง 500 - 1,000 เท่า ถ้าใช้รดต้นไม้แบบเข้มข้น ต้นไม้จะเฉาตาย)

การทำน้ำหมักชีวภาพ ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ แต่ต้องอาศัยเวลา และความอดทน ที่สำคัญน้ำหมักชีวภาพไม่มีสูตรที่ตายตัว เราสามารถทดลองทำปรับเปลี่ยนวัตถุดิบให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายหรือท้องถิ่นของเรา เพราะสภาพแวดล้อมแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน มีความต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน น้ำหมักชีวภาพจึงจำเป็นต้องมีความแตกต่างกันตามท้องถิ่น.

ดังนั้น มาทำน้ำหมักชีวภาพใช้กันนะค่ะ เริ่มต้นจากภายนอกก่อน เมื่อมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจถึงธรรมชาติการหมักแล้ว ค่อยมาทำน้ำหมักเอนไซม์ใช้ภายในกันนะค่ะ

12 มีนาคม 2555

กินอยู่อย่างไรเมื่อไตเริ่มเสื่อม

ไต เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เหรือตัวกรองน้ำ ทำหน้าที่ในการผลิตปัสสาวะกำจับของเสียออกจากร่างกายโดยเฉพาะโปรตีน ควบคุมการเป็นกรดด่างในเลือด ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย กำจัดสารพิษหรือยาบางชนิดออกจากร่างกาย ตลอดจนสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดแดง และสร้างวิตามินดีที่เกี่ยวข้องกับกระดูก

โรคไตเสื่่่อม เป็นภาวะที่ไตสูญเสียหน้าที่การทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ร่างกายมีการสะสมของของเสีย สมดุลของน้ำและเกลือแร่เสียไป เกิดอาการบวมน้ำ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย กระดูกพรุน และโลหิตจาง ถ้าทิ้งไว้นานเกิดภาวะน้ำท่วมปอด ความจำเสื่อม พูดจาไม่รู้เรื่อง และหัวใจวาย หรือล้มเหลวฉับพลันได้

โรคไตเสื่อมหรือไตวายเรื้อรัง มีสาเหตุหลายประการ ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยความดันสูง ผู้ป่วยโรคเกาต์ โรคไต โรคนิ่ว และผู้ที่ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อย ๆ

ในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้จึงจำเป็นต้องมีการติดตามตรวจร่างกายบ่อย ๆ ทุก ๆ 3 - 6 เดือน หรือ 1 ปี ด้วยการตรวจเลือด และตรวจปัสสาวะ โดยการตรวจระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมัน ปริมาณเม็ดเลือดแดง ปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ ความเป็นกรดด่างของปัสสาวะ ค่าของเสียในเลือด (Creatinine) เป็นต้น

หากพบว่ามีแนวโน้มของค่า Creatinine สูงกว่าปกติ คือ 0.7 - 1.5 แสดงว่า ไตเริ่มมีภาวะเสื่อมแล้ว ให้ทำการตรวจเพิ่มเติมหาไอออน ดังนี้ ค่า Calcium, Phosphorus, Sodium. Potassium และ CO2 เพื่อขอรับคำปรึกษาจากโภชนากร หรือคุณหมอในการควบคุมอาหารเพื่อชะลอความเสื่อมของไต

หลักการเบื้องต้นในการชะลอความเสื่อมของไต คือ
1. ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ที่ 130/80 มม.ปรอท
2. ควบคุมระดับน้ำตาลให้ต่ำว่า 110 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
3. ควบคุมระดับไขมันในเลือดระดับแอลดีแอล (LDL)น้อยกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
4. ถ้าเป็นโรคเกาต์ อย่าให้โรคเกาต์กำเริบ
5. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดกระดูก ยาหม้อ และยาลูกกลอน
6. งดสูบบุหรี ของมึนเมา กาแฟ และชา
7. ควบคุมน้ำหนักตัวและออกกำลังกาย
8. รับประทานโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ ไม่ติดมัน
9. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง และอาหารรสเค็มจัด

ตัวอย่างอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง
1. อาหารที่มีโพแทสเซียมสง เช่น ทุเรียน ขนุน กล้วย มะละกอสุข ส้ม มะเขือเทศ ฟักทอง แครอท เป็นต้น
2. อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น ถั่วต่าง ๆ เม็ดขนุน ช็อกโกแลต, น้ำอัดลม, นม เป็นต้น
3. อาหารที่มีโชเดียมสูงหรือเค็ม เช่น เกลือ ผงชูรส ซุปก้อน เต้าเจี้ยว น้ำปลา ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น
4. อาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด มันฝรั่งทอด กล้วยทอด มันทอด เป็นต้น

อาการที่ควรสังเกตุ หากมีอาการแบบนี้ ให้รีบไปตรวจหรือปรึกษาแพทย์ด่ว
1. เป็นเบาหวาน มีความดันสูงร่วมด้วยนานกว่า 5 ปี
2. เป็นโรคเกาต์ มีนิ่วในไต ปัสสาวะติดขัดบ่อย ๆ 
3. ปัสสาวะกลางคืนบ่อย ๆ มีอาการเริ่มบวมตามขา เท้า 
4. เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร นอนหลับกลางวันบ่อย ๆ กลางคืนไม่หลับ
5. ความดันสูง แต่โลหิตจาง น้ำตาลต่ำลงผิดปกติ
6. เบื่ออาหาร สับสน ซึมเศร้า นอนไม่หลับ

หากมีอาการเหล่านี้ให้ไปพบแพทย์ด่วนนะค่ะ ด้วยความปรารถนาดีจาก บ้านรักษ์สุขภาพ

6 มีนาคม 2555

“น้ำผึ้งที่แช่วุ้นจากน้ำหมัก” พบว่าช่วยกระตุ้นการขับสารพิษ

วุ้นจากน้ำหมักชีวภาพ ในถังหมักผลไม้ มีประโยชน์อย่างไร 

จากการบรรยายเรื่อง มหัศจรรย์ร่างกายมนุษย์ กับน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค พบว่า.....
วงจรของการขับของเสียออกจากร่างกายมนุษย์ มีด้วยกันหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นทางผิวหนัง ต่อมเหงื่อ ทางไต ปัสสาวะ ทางลำไส้ อุจจาระ และอื่น ๆ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีการทำงานอยู่ทุกวัน เพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุลอยู่เสมอ หากร่างกายเสียสมดุลตรงนี้ไป อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมาได้มากมาย อาทิเช่น สิว, เบาหวาน, ความดัน, โรคไต, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, ผิวหมองคล้ำ เป็นต้น
จากการวิจัยศึกษาเกี่ยวกับน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค ของดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงค์ พบว่าในสภาวะที่เหมาะสมในการหมักผลไม้กับน้ำผึ้งความชื้นต่ำ จะมีสารอาหารเกิดการจับรวมตัวกันเกิดเป็นวุ้นขาว ๆ ลอยอยู่ในถังหมักนั้น ซึ่งเมือ่นำไปวิเคราะห์ พบว่าเป็น สารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์ และพบว่ามี คอลลาเจน อยู่ด้วย และภายในของวุ้น จะมีการกักเก็บสารอาหารจำพวก กรดอะมิโน แร่ธาตุ และวิตามิน อยู่ภายในวุ้นนั้น ทำให้วุ้นมีประโยชน์ทางโภชนาการอีกด้วย

--> เมื่อนำวุ้นที่ได้จากกระบวนการหมัก มาหมักต่อในน้ำผึ้งดอกไม้ป่า ความชื้นต่ำ 18% เป็นเวลา 3 – 6 เดือน เป็นเวลา 3 รอบ สามารถนำวุ้นที่ได้มาแบ่งรับประทานทุกเช้า เพื่อช่วยกระตุ้นการขับของเสีย หรือระบบขับถ่ายได้ เพราะมีไฟเบอร์ และกรดอะมิโนสูง

และพบว่า “น้ำผึ้งที่เหลือจากการแช่วุ้นจากน้ำหมัก” มีรสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมน้ำผึ้งผสมกับกลิ่นผลไม้ที่ได้จากการหมักวุ้นนั้น พบว่า น้ำผึ้งที่ได้ มีอัตราการการเพิ่มของเอนไซม์มากขึ้น และมีปริมาณกรดอะมิโน แร่ธาตุ และวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่สำคัญ “น้ำผึ้งที่ได้นี้” เมื่อนำไปบริโภคพบว่า ช่วยในการกระตุ้นการขับถ่ายของเสีย ช่วยล้างคราบไขมันซึ่งเป็นของเสียที่เกาะอยู่ตามทางเดินอาหาร หลอดอาหาร ผนังกระเพาะอาหาร ผนังลำไส้ พร้อมลดอาการอักเสบ ปรับสมดุลของร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงและคืนสู่ภาวะปกติสุข

หากใครทำการหมักผลไม้กับน้ำผึ้งไว้ ตามสูตรของ ดร.รสสุคนธ์ และพบว่ามี วุ้นเกิดขึ้น ไม่ต้องตกใจ หรือทิ้งไปนะค่ะ นำมาหมักกับน้ำผึ้ง หรือแช่ในน้ำผึ้งและเก็บไว้รับประทานได้ โดยทั้งวุ้น และ น้ำผึ้งที่ใช้หมักวุ้นแล้ว จะมีสรรพคุณใกล้เคียงกัน สรุปดังนี้

1.  ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย การบีบตัวของลำไส้
2. บำรุงผิวพรรณ ลดอาการแพ้ ลดการเกิดการอักเสบ ลดการเกิดสิว ผดผื่นคัน
3. ลดอาการอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่น ฟื้นฟูร่างกาย
4. ช่วยในการย่อยอาหาร และขับของเสียออกจากร่างกาย
5. กระตุ้นระบภูมิคุ้มกัน ลดอาการแพ้ อาการอักเสบ
สงสัยหรืออยากสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณตู๋ tusora@hotmail.com

4 มีนาคม 2555

เครื่องดื่มสุขภาพรับหน้าร้อน

 เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพดับร้อน สูตรพิเศษ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แก้กระหาย ดับร้อน สร้างความกระชุ่มกระชวย ชุ่มคอ เพิ่มพลังงาน และฟื้นฟูสุขภาพ เป็นเครื่องดื่มที่ดื่มได้ทั้งแบบเย็นและร้อน ทำปรุงดื่มกันได้เองแบบง่าย ๆ ที่บ้าน เริ่มต้นที่สูตรแรก
vitamin
1. น้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ (ดูสูตรน้ำผักปั่นได้ที่นี้) ทำดื่มทันทีได้ทั้งกากใยอาหาร และเอนไซม์จากผลไม้ หรือจะเติมน้ำแข็งลงไป แล้วดื่มแบบเย็นก็ดับกระหายได้อย่างดี

2.   น้ำลูกเดือย ใช้ลูกเดือยแก่เปลือก มาต้มให้สุก แล้วใส่ในเครื่องปั่น ปั่นให้ ละเอียด จากนั้นเติมน้ำเชื่อมและน้ำแข็งลง ไป ปั่นจนเข้ากันดีแล้วเทใส่ภาชนะ ดื่มเพื่อ เติมความสดชื่นให้แก่ร่างกาย

3. น้ำเก๊กฮวย ใช้ดอกเก๊กฮวย มาต้มในน้ำเดือด 15 นาที ดื่มแบบร้อน ๆ โดยเติมน้ำผึ้ง เล็กน้อย หรือ แช่เย็นทานก็ชื่นใจ ดับกระหาย แก้ร้อนในได้ดี

4. น้ำอ้อย แก้กระหาย ให้ความชุ่มชื่น มีโพแทสเซียม เหล็ก ไนโตรเจน และฟอส ฟอรัสมาก ควรอื่มน้ำอ้อยหีบสด ไม่ควรดื่ม แบบเคี่ยว เพราะปริมาณน้ำตาลจะมากเกินไป

5. น้ำลูกตาล จะนำมาปรุงเป็นลูกตาล ลอยแก้วรับประทาน หรือปอกเปลือกรับ ประทานสดๆ ก็ได้ เพราะในเนื้อลูกตาลอ่อน มีฟอสฟอรัส แคลเซียม และน้ำมาก มีกาก ใยและคาร์โบไฮเดรตสูงพอสมควร ช่วยให้ ร่างกายกระชุ่มกระชวย

6. น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง โดยใช้คั้นมะนาว 1 ลูก ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่น 2 แก้ว วิตามินซีช่วยให้สดชื่น กระชุ่มกระช่วย หรือเติมน้ำแข็งแล้วปั่นเป็นสมูทตี้ก็อร่อยดี

7. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดดื่มได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น

วิธีผสมแบบร้อน
คือ ใช้น้ำพลังเอนไซม์บำบัด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง 1/2 - 1 ช้อนโตีะ และน้ำอุ่น 1 แก้ว (250 – 300 cc) ผสมกัน แล้วดื่มได้ทันที
วิธีผสมแบบเย็น คือ เติมน้ำพลังเอนไซม์บำบัด 1 ช้อนโต๊ะลงในโยเกิรต์ 1/2 ถ้วย เถลงในโถปั่น เติมแอปเปิ้ลที่หั่นแล้ว ครี่ง ลูก ลงไป ปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำแข็งลงไป ปั่นจนได้เป็นแบบสมูทตี้ ดื่มดับกระหาย ช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร และขับถ่ายได้

8. น้ำแร่ ดื่มได้ทั้งเย็น และร้อน ดับกระหาย แก้ร้อนในได้ดีที่สุดค่ะ

ดาวน์โหลด น้ำผักปั่นพลังเอนไซม์
-->

2 มีนาคม 2555

มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน น้ำหมักพืช (มผช. 481/2547)

ฉบับย่อเฉพาะใจความสำคัญ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ปัจจุบันได้มีการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน น้ำหมักพืชขึ้นมาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการบริโภค โดยมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนนี้จะครอบคลุมเฉพาะน้ำหมักพืชแท้และน้ำหมักปรุงพร้อมดื่ม บรรจุในภาชนะ เท่านั้น
คุณลักษณะที่ต้องการตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
  • ลักษณะทั่วไป ต้องเป็นของเหลว อาจตกตะกอนเมื่อวางตั้งทิ้งไว้ อาจมีชิ้นเนื้อพืชปนอยู่ได้บ้างเล็กน้อย
  • มีสี กลิ่น และกลิ่นรสที่ดีตามธรรมชาติของส่วนประกอบที่ใช้ และกรรมวิธีการผลิตที่ปราศจากกลิ่นรสดื่นที่ไม่พึงประสงค์
  • ต้องไม่พบสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ใช่ส่วนประกอบที่วัตถุเจือปนอาหาร (ถ้ามี) หากมีการใช้วัตถุกันเสีย ให้ใช้ได้ตามชนิดและปริมาณที่กฏหมายกำหนด
  • เอทิลแอลกอฮอล์ ต้องไม่เกินร้อยละ 3 โดยปริมาตร
  • เมทิลแอลกอฮอล์ ต้องไม่เกิน 240 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • ความเป็นกรด – ด่าง ต้องไม่เกิน 4.3
จุลินทรีย์
1. ซาลโมเนลลา ต้องไม่พบในตัวอย่าง 50 กรัม
2. สตาฟิโลค็อกคัส ออเรียส ต้องไม่พบในตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร
3. คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ ต้องไม่พบในตัวอย่าง 0.1 กรัม
4. เอสเชอริเซีย โคไล โดยวิธีเอ็มพีเอ็น ต้องน้อยกว่า 2.2 ต่อตัวอย่าง 100 มิลลิลิตร
5. ยีสต์และรา ต้องไม่เกิน 100 โคโลนี ต่อตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร

สำหรับผู้ที่ต้องการของรับรองการผลิตให้ติดต่อที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจังหวัด ทุกจังหวัด เพื่อขอการรับรองมาตรฐาน พร้อมการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ได้ หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เวปไซด์ http://www.tisi.go.th (มผช.481/2547)