เพื่อคงระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสมนั้น ชาวแมคโครไบโอติก หรือ นักโภชนาการบำบัด และนักธรรมชาติบำบัด แนะนำอย่างแรกที่เหมือน ๆ กัน คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ป่วย และผู้ดูแล ในการจัดเตรียมอาหาร จัดอาหาร และบริโภคอาหารให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ซึ่งหลักการแรกที่เป็นคำกล่าวโบราณที่กล่าวไว้ว่า “จงดื่มอาหาร และเคี้ยวเครื่องดื่ม (drink your food and chew your beverage) ซึ่งแปลว่า เราต้องเคี้ยวอาหารในนานจนรู้สึกเหมือนดื่มได้ และดื่มเครื่องดื่มให้ช้าประหนึ่งว่าเคี้ยวอยู่”
เพื่อให้อาหารได้คลุกเคล้ากับน้ำลายและลดการทำงานของกระเพาะอาหารในการย่อย ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมอาหารไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นับว่าเป็น หลักการ หรือ กฏข้อแรกที่ ผู้ป่วยเบาหวาน หรือ ผู้รักสุขภาพ ต้องเรียนรู้ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคของตน เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายในการฟื้นฟูสุขภาพของเรา
Adele นักแมคโครไบโอติก บอกว่า การบริโภคอาหารเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในอยู่ในสภาพสมดุลนั้น คือ การรับประทานอาหารให้ถูกชนิดตามเวลาที่เหมาะสม
โดยใช้หลักง่าย ๆ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล คือ
1. ควรกินอาหารเช้าหลังจากตื่นนอน 1 –1.30 ชั่วโมง เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้สมดุล เมนูอาหารในมื้อเช้า คือ พวกโปรตีน และ/หรือแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) ซึ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ควรเป็นโปรตีน จาก ปลาเนื้อขาว ปลาทะเลลึก และ เนื้ออกไก่ งดเว้น เนื้อวัว เนื้อหมู หรือ โปรตีน จาก นมถั่วเหลือง เต้าหู ธัญพืช ส่วนแป้ง ให้เป็น ข้าวไม่ขัดสี
2. หลังอาหารเช้า 2 ชั่วโมง ให้ทานผักดิบและผลไม้สดที่ไม่มีรสหวาน เช่น แตงกวา ฝรั่ง ชมพู เป็นต้น หรือ (จะทาน น้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ 2 แก้ว (500 cc) ตามสูตรของ ดร.รสสุคนธ์ แทนก็ได้ผลเหมือนกันค่ะ แต่ให้งดเติมน้ำผึ้งในสูตร และใช้ผลไม้เป็นแอปเปิลเขียว นะค่ะ)
3. อาหารกลางวัน ไม่ควรทานเกินบ่ายโมง โดยเมนูควรเป็น อาหารจำพวก โปรตีนกับผัก หรืออาหารจำพวก แป้งกับผัก
4. หลังอาหารกลางวัน 3 ชั่วโมง ให้ทานผลไม้ หรือ ผักลวกสุก 1 จาน หรือ (จะทาน น้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ 1 แก้ว (300 cc) ตามสูตรของ ดร.รสสุคนธ์ แทนก็ได้ผลเหมือนกันค่ะ แต่ให้งดเติมน้ำผึ้งในสูตร และใช้ผลไม้เป็นแอปเปิลเขียว นะค่ะ)
5. อาหารเย็น ทานก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมง ให้ทานผักสุก จะนำไป ลวก นึ่ง ต้ม หรือผัด ก็ด้ แต่ต้องงด แป้ง โปรตีน เด็ดขาด เพราะพลังการเผาผลาญของร่างกายจะลดลงไม่สามารถย่อยอาหารหนักได้ แล้ว จะทำให้ท้องอืด อาหารเหลือตกค้างในร่างกายได้
และสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน งดอาหาร หวาน และเค็ม (ระวังผลไม้รสหวาน เช่น มะม่วงสุก ทุเรียน มะละกอสุก และของแห้ง ของดอง เช่น ปลาเค็ม ไข่เค็ม กุ้งแห้ง เป็นต้น)

เหมือนเราทราบหลักการคราว ๆ แล้ว ก็จะมาแนะนำวัตถุดิบที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถรับประทานได้ เพื่อจะได้ใช้ในการประกอบอาหาร
1. ข้าวกล้อง หรือข้าวไม่ขัดสี (อาหารจำพวกแป้ง)
2. ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง (อาหารจำพวกโปรตีน)
3. เต้าหูไข่ เต้าหูเหลือง เต้าหู้ขาว ฟองเต้าหู (อาหารจำพวกโปรตีน)
4. ข้าวโพด ฟักทอง (อาหารจำพวกแป้ง)
5. มะระ ฟัก แตงกวา แครอต กระเทียม หัวหอมใหญ่ ผักกาดขาว ผักกาดหอม ขิง เห็ดตำลึง ต่าง ๆ ปวยเล้ง มะเขือพวง มะเขือเทศ (อาหารจำพวกผัก)
6. ปลาจาระเม็ด ปลากะพง (อาหารจำพวกโปรตีน)
7. กล้วยน้ำว้า ชมพู่ แอปเปิลเขียว สาลี ส้มเขียวหวาน แก้วมังกร (อาหารจำพวกผลไม้)
8. น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา (อาหารจำพวกไขมัน ที่สามารถนำมาผัด หรือปรุงอาหารได้)
9. น้ำเต้าหู้ น้ำนมข้าว โยเกิรต์รสธรรมชาติ (มีแลกโทส ช่วยในการผลิตอินซูลิน)
ตัวอย่างเมนูอาหาร สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน 1 วัน
มื้อเช้าหลังตื่นนอน 1 ชั่วโมง ข้าวกล้อง ปลากระพงนึ่งสมุนไพร (ขิง ข่า คืนฉ่าย) และน้ำเต้าหู้
มื้อหลังอาหารเช้า 2 ชั่วโมง ชมพู 4 ผล (1 จาน) หรือ น้ำผักปั่น 2 แก้ว
มื้อกลางวันก่อนบ่าย ข้าวกล้อง กับมะระผัดไข่
มื้อหลังอาหารกลางวัน 3 ชั่วโมง น้ำส้มคั้น 1 แก้ว หรือ น้ำผักปั่น 2 แก้ว
มื้อเย็นก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมง ซุปผักใส หรือ ซุปหัวหอม หรือ น้ำข้าวกล้องผสมธัญพืช 1 แก้ว (300 cc)
สุดท้าย ก็เรื่องการออกกำลัง สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ควรเลือกให้เหมาะสมกับสรีระ และความสามารถของร่างกาย เช่น เดินอย่างน้อย 30 นาที แกว่งแขน 100 ครั้งต่อวัน วิ่ง 15 นาที โยคะ 30 นาที เป็นต้น
ซึ่งหลักการนี้ หากคุณเป็นผู้ป่วย หรือคอยดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ลองนำหลักการนี้ ไปปรึกษา และปฏิบัติอย่างต่อเนื่องดูนะค่ะ หากได้ผลอย่างไร ก็บอกต่อกันไปเพื่อเป็นวิทยาทาน หรือมีข้อสงสัยต้องการสอบถามเพิ่มเติม ให้ติดต่อ คุณตู๋ tusora@gmail.com บ้านรักษ์สุขภาพ นะค่ะ
สูตร น้ำผักปั่นพลังเอนไซม์บำบัด