google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

11 มีนาคม 2564

เอนไซม์ (Enzyme) จากผักผลไม้

เอนไซม์ (Enzyme)

เอนไซม์จึงเป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมี หรือตัวคะตะลิสต์ (Catalyst) ที่จำเพาะ ซึ่งจะทำง่านร่วมกับโคเอนไซม์ (Coenzymes) โดยโคเอนไซม์ในที่นี้ก็คือพวกวิตามินและแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกาย และวิตามินและแร่ธาตุนั้นจะไม่สามารถกระตุ้นให้ทำงานได้หากไม่ได้ทำงานร่วมกับเอนไซม์

ดร.เอ็ดเวิร์ด เฮาเวลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเป็นบุคคลแรกที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเอนไซม์ เขาได้กล่าวว่า "ร่างกายของเรามีแหล่งพลังงานจากเอนไซม์มาตั้งแต่แรกเกิด เปรียบเสมือนกับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ ที่เมื่อใช้ไปในระยะหนึ่งแล้ว แบตเตอร์รี่ดังกล่าวก็จะหมดอายุหรือหมดพลังไป ร่างกายของเราก็เช่นกัน เมื่อใช้แหล่งพลังงานเหล่านั้นจากเอนไซม์ไปมากเท่าไหร่ ชีวิตของเราก็สั้นมากขึ้นเท่านั้น

หน้าที่หลักที่แท้จริงของเอนไซม์ ได้แก่ ช่วยในการย่อยอาหาร โดยเอนไซม์มีหน้าที่เป็นตัวเร่งในการย่อยอาหารให้สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพแล้วนำไปใช้ได้

อาหารจากธรรมชาติล้วนแล้วแต่มีเอนไซม์อยู่ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อจะช่วยในการย่อยสิ่งต่าง ๆ ที่เรารับประทานเข้าไป เช่น โปรตีน แป้ง ไขมัน เส้นใยอาหาร น้ำตาล นม เป็นต้น โดยเอนไซม์ในอาหารจากธรรมชาติเหล่านี้เราสามารถจำแนกออกได้เป็น 7 ประเภท

1. อะไมเลส (Amylase) เอนไซม์ที่ช่วยย่อยแป้ง
2. ไลเพส (Lipase) เอนไซม์ที่ช่วยย่อยไขมัน 
3. โพรทีเอส (Protease) เอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน 
4. เซลลูเลส (Cellulase) เอนไซม์ที่ช่วยย่อยพวกเส้นใยพืชต่าง ๆ 
5. แลกเทส (Lactase) เอนไซม์ที่ช่วยย่อยจำพวกนม
6. ซูเครส (Sucrase) เอนไซม์ที่ช่วยย่อยพวกน้ำตาล
7. มอลเทส (Maltase) เอนไซม์ที่ช่วยย่อยพวกเมล็ดข้าว

เราสามารถเพิ่มปริมาณของเอนไซม์ให้กับร่างกายของเราได้ 2 วิธีด้วยกัน โดยในวันหนึ่ง ๆ ให้เรารับประทานผักและผลไม้สดให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาหารทั้งหมดที่เรารับประทานเข้าไปใน เพื่อให้ร่างกายจะได้ไม่ขาดเอนไซม์ที่จำเป็น

นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า การลดจำนวนอาหารลงจะทำให้เราไม่สิ้นเปลืองการใช้เอนไซม์ที่จะมาใช้ในการย่อยอาหาร ส่งผลทำให้ตายช้าลง เพราะเมทาโบลิกเอนไซม์จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากไม่ต้องไปช่วยย่อยอาหาร จึงสามารถนำไปซ่อมแซมร่างกายให้แข็งแรง

นักชีวเคมียังมีความเชื่อด้วยว่าเอนไซม์ที่ถูกผลิตขึ้นในร่างกายของแต่ละคนจะมีอยู่อย่างจำกัด เปรียบเสมือนเงินฝากในธนาคาร ถ้าใช้อย่างฟุ่มเฟือย เงินในธนาคารก็หมดเร็ว เพราะคนทั่วไปเบิกเอนไซม์ของตอนมาใช้ และไม่ค่อยหากลับมาฝากคืนธนาคารอีก......

ไลน์ไอดี @qwd5997q


30 มกราคม 2564

น้ำผึ้งแท้ ดอกไม้ป่า ความชื้นต่ำ ราคาพิเศษสำหรับขนาด 7 กก

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (Anti-oxidant) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความร้อนในร่างกาย แก้ไอ ให้ความชุ่มชื้น บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย บำรุงตับไตให้แข็งแรง บำรุงลำไส้ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ ฮอร์โมน และเอนไซม์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

สอบถามเพิ่มเติม ไลน์ @qwd5997q

สรรพคุณของน้ำผึ้งแท้ดอกไม้ป่าที่ระบุไว้ในตำราแพทย์แผนจีน
1. บำรุงภาวะพร่องอ่อนแอ ผู้มีปัญหาเรื่องตับอับเสบเรื้อรัง แผลในกระเพาะอาหาร วัณโรคปอด เป็นต้น
2. ลดความแห้งของปอด ทำให้ชุ่มชื่น เหมาะสำหรับอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ ไอเรื้องรัง มักจะทำให้ชุ่มคอ
3. ช่วยระบายทำให้อุจจาระนิ่ม เหมาะสำหรับคนสูงอายุ หญิงหลังคลอด ผู้ป่วยฟื้นจากโรคที่มีอาการท้องผูก
4. มีฤทธิ์สมานแผล เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคแผลกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กอักเสบ ผู้ป่วยที่ระบบการย่อยอ่อนแอ ปวดท้องและมีแขนขาเย็น ลดการหดเกร็งเนื่องจากความเย็น
5. ขับพิษ – ใช้ทาแผลภายนอกที่เกิดจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ฝีมีหนอง สามารถฆ่าเชื้อและทำให้แผลหายเร็วขึ้น
6. ใช้ในด้านความงาม ทำให้ผิวหนังนุ่ม และลดการอักเสบ
7. ช่วยทำให้การนอนหลับดีขึ้น
8. ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กเล็ก
9. มีการประยุกต์ใช้ในผู้ป่วยโรคตับ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง 

ห้ามทานเกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ หรือ 20 กรัม และคนที่ท้องเสีย ถ่ายเหลวไม่ควรทานเพราะทำให้ขับอุจจาระมากขึ้น และไม่ควรทานร่วมกับเต้าหู้ เพราะน้ำผึ้งจะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุโปรตีนในเต้าหู้ ทำให้โปรตีนลดคุณค่าทางโภชนาการ และไม่ควรทานน้ำผึ้งกับ ผักกุยช่าย หัวหอม และกระเทียม เพราะจะทำฤทธิ์ของน้ำผึ้งลดลง



สรรพคุณของน้ำผึ้งแท้
1. น้ำผึ้งมีรสหวานมาก แต่ไม่มีสรรพคุณที่ทำให้เกิดความอ้วน นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ลดกรดของไขมัน

2. น้ำผึ้งไม่ทำให้เกิดฟันผุ เหมือนน้ำตาลหรือลูกกวาดทั่วไป แต่กลับทำให้การงอกของฟันดีขึ้น

3. มีบางรายงานเชื่อว่า น้ำผึ้งมีฤทธิ์ยับยั้งการก่อตัวของนิ่วในไต และนิ่วในถุงน้ำดี

4. มีฤทธิ์ต้านเชื้อโรค มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง เป็นยาอายุวัฒนะ

5. ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร รักษาแผลกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น โรคบิด ลำไส้อักเสบ

สอบถามเพิ่มเติม ไลน์ @qwd5997q

15 มกราคม 2564

น้ำหมักชีวภาพในอดีตสู่ปัจจุบันน้ำหมักพลังเอนไซม์บำบัด

น้ำหมักชีวภาพในอดีตสู่ปัจจุบันน้ำหมักพลังเอนไซม์บำบัด


น้ำหมักชีวภาพ (น้ำหมักพลังเอนไซม์บำบัด) ใช้สำหรับดื่มกินเป็นสารละลายที่อุดมไปด้วยสารอาหาร จำพวกโปรตีน วิตามินเอ บี ซี ดี อี เค ตลอดจนพวกกรดอะมิโน และ อะเซทิลโคเอ (Acetyl CoA) ที่ได้จากหมักผลไม้นานาชนิดในระยะเวลานานกว่า 4 - 6 ปี จึงจะได้เป็นน้ำหมักพลังเอนไซม์บำบัด



โดยอาศัยจุลินทรีย์ในธรรมชาติหลากหลายชนิด ที่ปะปนอยู่ในวัตถุดิบก่อให้เกิดกระบวนการหมักเพื่อเปลี่ยนผลไม้ และน้ำผึ้งเป็นผลผลิตตามต้องการ

ในระยะเริ่มแรกของการหมักจะได้ผลิตภัณฑ์เป็นแอลกอฮอล์ สังเกตุได้จากมีกลิ่นฉุน มีแก๊ซเยอะ 

ระยะที่สองได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำส้มสายชู (มีรสเปรี้ยว กลิ่นเปรี้ยวหอม) 

ระยะที่สามเป็นยาธาตุ (รสขม เปรี้ยวขม กลิ่นหอมคงที) ที่เรียกว่า "น้ำหมักชีวภาพ หรือที่เราเรียกว่า น้ำหมักพลังเอนไซม์บำบัด" 

อีก 2 ปี ต่อมา เป็นระยะเวลาของการหมักขยาย เพื่อเพิ่มคุณค่าของสารอาหาร และลดปริมาณแอลกอฮอล์ในน้ำหมักให้ต่ำลง เพียงพอที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย ซึ่งรวมระยะการผลิตไม่ต่ำว่า 6 ปี สำหรับการหมักน้ำพลังเอนไซม์บำบัดเพื่อบริโภค

ในอดีตการผลิตน้ำหมักชีวภาพของบ้านรักษ์สุขภาพนั้น เป็นระบบการหมักแบบชุมชน ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ต่อมาได้มีการพัฒนาการผลิตให้ได้มาตรฐานมากขึ้น มีกระบวนการหมัก สูตร และระยะเวลาที่ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น มีการนำส่งบรรจุในโรงงาน และควบคุมการผลิตให้ดีขึ้น

น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร Multi fruit Enzyme ขนาด 750 มล. ราคา 450 บาท จึงเป็นน้ำหมักชีวภาพที่เราเรียกว่า "น้ำพลังเอนไซม์บำบัด" ที่มีมาตรฐานในการตรวจสอบ ดังนี้

มาตรฐานที่กำหนด
1. ลักษณะที่ปรากฏ  น้ำน้ำตาลอ่อน ๆ ใส หรืออาจตกตะกอนเมื่อวานทิ้งไว้  มีสี หรือกลิ่นหอมตามธรรมชาติ
2. การปนเปื้อนของแอลกอฮอล์
2.1. มีปริมาณเอทิลแอลกอฮอล์ ไม่เกินร้อยละ 3 โดยปริมาตร (เป็นแอลกอฮอล์จากธรรมชาติ รับประทานได้ ไม่เป็นอันตราย)
2.2  เมทิลแอลกอฮอล์ ต้องไม่เกิน 240 มิลลิกรัมต่อลิตร (เป็นแอลกอฮอล์ชนิดใช้ภายนอก ไม่ควรมีเกินมาตรฐานเพราะจะทำให้เป็นอันตราย)
3. ความเป็นกรด-ด่าง ไม่เกิน 4.3 (ปกติมักอยู่ในช่วง 2 - 4)
4. ไม่มีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ ดังนี้
4.1 ซาลโมเนลลา
4.2. สตาฟิโลค็อกคัส ออเรียส
4.3 คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์
4.4 เอสเธอริเซีย โคไล
4.5 ยีสต์และรา ต้องไม่เกิน 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร (พบได้บ้าง ทำให้เกิดกลิ่นและแอลกอฮอล์)

โดย 4 ข้อ หลัก ๆ นี้ เป็นมาตรฐานเบื้องต้นในการตรวจเพื่อขอมาตรฐาน และมีการสุ่มตรวจทุกปี และต้องทำการต่อมาตรฐานทุก ๆ 3 ปี เป็นต้น

สอบถามสั่งซื้อเพิ่มเติมได้ที่ไลน์ @qwd5997q
\

14 มกราคม 2564

น้ำตาลทำลายภูมิคุ้มกัน

ของหวานอุดมไปด้วยน้ำตาล ตัวการณ์ทำลายภูมิคุ้มกัน

#สายหวาน #สายคาเฟ่ #น้ำตาล

รุ้ไหมค่ะว่า ของหวานอุดมไปด้วยน้ำตาลและแป้งทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นตัวการสำคัญในการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเราต่ำลง โดยมีรายงานทางการแพทย์ระบุไว้ว่า น้ำตาลเพียง 1 ช้อนชา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีประสิทธิภาพต่ำลงถึง 50% เพราะน้ำตาลทำให้เลือดมีค่าความเป็นกรดสูงส่งผลให้เกิดการหลั่งของสารอักเสบ หรือ ฮีสตามีน ทำให้ร่างกายเกิดอาการอักเสบทั่วร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานหนัก เซลล์ร่างกายอ่อนแอลง ลงผลทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้ จะเห็นอาการกำเริบ เช่น มีน้ำมูกใส เจ็บคอ ไอ ปวดเมื่อยตามตัว มีไข้ต่ำ ๆ ผิวแพ้ง่าย ท้องอืด ไม่ขับถ่าย ซึ่งเป็นอาการที่บ่งบอกถึงสภาวะ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง อ่อนแอลง ....

ปรับสมดุลร่างกาย เสริมกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ทุกวันด้วย ....น้ำพลังเอนไซม์บำบัด สูตรผลไม้รวม สูตร 1
 ขนาด 750 มิลลิลิตร ราคา 450 บาท อุดมไปด้วย เอนไซม์ วิตามิน แร่ธาตุ ที่จำเป็นต่อร่างกายในการขจัดพิษ สารอนุมูลอิสระ และกระตุ้นปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกัน 

สนใจติดต่อสอบถามสั่งซื้อได้ที่ไลน์ @qwd5997q เท่านั้น