google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

22 พฤษภาคม 2555

อาหารชะลอริ้วรอยย่นบนใบหน้า (Anti-aging Food)

อาหารชะลอริ้วรอยย่นบนใบหน้า (Anti Aging Food)

"ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า" เป็นสัญญาณแห่งความร่วงโรยตามวัย หรือเข้าสู่วัยชรานั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สาว ๆ หนุ่ม ๆ คงหวาดหวั่นไม่อยากให้ถึงเวลานั้น วันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ จึงมีอาหารมาแนะนำเพื่อช่วยชะลอริ้วรอยแห่งวัย ไม่ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเร็วเกินวัย... ซึ่งเป็นการใช้หลักโภชนาการบำบัดนั้นเอง...

อาหารแนะนำอย่างแรก คือ อาหารจานปลา ปลาทะเล ปลาซาร์ดีน ปลากระพง ปลาแซลมอน ซึ่งอุดมไปด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี คือ กรดโอเมก้า3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย และยังอุดมไปด้วยโปรตีน และแคลเซียมชนิดดีที่ร่างกายต้องการนำไปฟื้นฟูเซลล์เม็ดเลือดแดง และเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง หน้าเนียนใสอีกด้วย รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมบรรจุเมนูอาหารจานปลาทะเล ไว้ในเมนูอาหารประจำบ้าน อาทิตย์ละ 2 - 3 ครั้งด้วยนะค่ะ

อาหารแนะนำอย่างที่สอง คือ น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันมะกอก ซึ่่งมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ และอุดมไปด้วยสารแอนติออกซิเด็นท์สูง แต่ขอให้เป็นน้ำมันสกัดชนิดบีบเย็น ที่เรียกว่า Extra Virgin Oil นะค่ะ สารแอนติออกซิเด็นท์ที่มีอยู่สูงในน้ำมันสองชนิดนี้ จะช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย รู้แบบนี้อย่าลืมเลือกน้ำมันชนิดนี้ มาใช้ในการปรุงอาหารสำหรับความงามของคุณนะค่ะ

อาหารแนะนำอย่างที่สาม คือ น้ำผึ้งดอกไม้ป่า เกสรผึ้ง อุดมไปด้วยสารอาหารชั้นเลิศ มีสรรคุณในการบำรุงผิวพรรณ ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผิว และเพิ่มคลอลาเจนหรือความยืดหยุ่นให้กับผิวอีกด้วย

อาหารแนะนำอย่างที่สี่ คือ ผักผลไม้สด หรือ น้ำเอนไซม์จากผลไม้ อุดมไปด้วยสารอาหารวิตามิน แร่ธาตุ ฮอร์โมน และเอนไซม์ ช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย เป็นอาหารของเซลล์ ทำให้เซลล์แข็งแรง ผิวพรรณดี ระบบขับถ่ายดี ช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย และบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ผิวพรรณแข็งแรง มีน้ำมีนวล

ผลิตภัณฑ์แนะนำ
1. น้ำมันอัลมอนด์พลัส อุดมไปด้วยวิตามินอี และกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ชะลอการเกิดริ้วรอย และเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผิว
2. น้ำผึ้งดอกไม้ป่าความชื้นต่ำ อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และผิวพรรณ ช่วยชะลอริ้วรอยแต่วัย และบำรุงร่างกาย
3. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดจากผลไม้รวม Multi Fruit Enzyme เป็นสารอาหารที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย นับว่าเป็น Cell Food ซึ่งทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ครีมชะลอริ้วรอย จากสมุนไพรไทย 98% ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายอย่างได้ผลรับรอง

สนใจติดต่อสั่งซื้อได้ที่ tusora@hotmail.com ค่ะ

9 พฤษภาคม 2555

ผู้ที่ควรใช้เอ็นไซม์เสริมสุขภาพ

คำถามที่มักได้ยินคือ ฉันสุขภาพดี ไม่ป่วยเป็นอะไร ทานเอนไซม์ได้ไหม ?????

หรือ .... ฉันป่วยเป็นโรค... เอนไซม์ช่วยได้ไหม?????

ก่อนจะตอบคำถามเหล่านี้ ขออธิบายให้ทุกคนเข้าใจกันก่อนดีไหมว่า เอ็นไซม์... คืออะไร และชีวิตมนุษย์เราขาดเอ็นไซม์ได้ไหม ขาดแล้วจะเป็นอะไร

เอนไซม์ เป็นกลุ่มของโปรตีน ที่ทำหน้าที่ในการช่วยย่อยอาหาร ให้เป็นสารอาหารขนาดเล็ก และช่วยในการดูดซึมสารอาหารเหล่านั้นเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อไปสร้างกล้ามเนื้อ ผลิตฮอร์โมน สร้างระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ซึ่งในกลไกต่าง ๆ นั้น ต้องใช้ เอนไซม์ และโคเอนไซม์ (วิตามิน และแร่ธาตุ) ในกระบวนการทั้งสิ้น

ถ้าหากเอนไซม์ในร่างกายมีไม่เพียงพอ จะก่อให้เกิดภาวะความเสื่อม เซลล์ทำหน้าที่ได้ไหม่สมบูรณ์ มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเรื้อตังต่าง ๆ ได้ง่ายมาก ภาวะการขาดเอนไซม์ มีได้หลายสาเหตุ โดยเฉพาะ สาเหตุของอายุที่มากขึ้น จะส่งผลให้ร่างกายผลิตเอ็นไซม์ได้น้อยลง การขาดแคลนเอนไซม์เมื่ออายุมากขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สรุปคือ เอ็นไซม์สำคัญกว่า ออกซิเจน เสียอีก หากไม่มีเอนไซม์ เซลล์ก็จะไม่สามารถสร้างได้ ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ความต้านทานโรคก็จะลดลง ความเสื่อมโทรมก็จะเข้ามา ทำให้เกิดภาวะโรคเรื้อรัง โรคแห่งความเสื่อมก็เข้ามาเยือน

เมื่อเข้าใจความสำคัญของเอ็นไซม์แล้ว  เรามาดูกันว่า แพทย์ทางเลือกได้แนะนำไว้ว่าผู้ที่ควรใช้เอ็นไซม์ในการเสริมสุขภาพ คือ กลุ่มคนแบบใดบ้าง

1. ผู้ที่ต้องการให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ
2. ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ติดเชื้อง่าย เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย ๆ
3. ผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหาร ท้องอืด ท้องผูก อาหารไม่ย่อย
4. ผู้ป่วยก่อน และหลังการผ่าตัด ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และทำให้แผลหายเร็ว ลดอาการติดเชื้อ หรือการอักเสบ
5. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เอนไซม์ช่วยลดการทำงานของตับ
6. ผู้ที่มีอาการเบื่ออาหาร เอนไซม์ช่วยกระตุ้นความยากอาหาร
7. ผู้มีอาการติดเชื้้อ ทำให้ร่างกายเจ็บ ๆ ออด ๆ แอด ๆ
8. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น ตกใจง่าย กระปรกกระเปรี้ย ไม่มีแรง
9. ผู้ที่เป็นโรคความเสื่อม เช่น โรคเบาหวาน ความดันสูง โรคไต เป็นต้น

การแพทย์องค์รวมทางตะวันตก ได้มีการนำ เอนไซม์บำบัด ไปใช้ในการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยเกี่ยวกับระบบต่าง ๆ ร่วมกับการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันอย่างได้ผล

1. ระบบเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ เช่น ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหัวใจ โดยไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดการทำงานของระบบหัวใจ ลดความเหนียวข้นของเลือด
2. ระบบทางเดินอาหาร ช่วยในการย่อยและการขับถ่าย เช่น โรคกระเพาะ โรคลำไส้อักเสบ โรคริดสีดวงทวาร อาการท้องผูก อาหารไม่ย่อย โรคนิ่ว โรคถุงน้ำดีอักเสบ โรคไตอักเสบ โรคไตวายเรื้อรัง โรคตับ โรคต่อมลูกหมากโต
3. ระบบทางเดินหายใจ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคไซนัสอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคปอด โรคหอบ หืด โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคหัด
4. ระบบผิวหนัง เช่น โรคกลาก เกลื้อน โรคผิวหนังอักเสบ เป็นสิว ฝ้า จุดด่างดำ แผลสด ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลในปาก สะเก็ดเงิน
5. ระบบกล้ามเนื้อ และกระดูก เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ  อาการปวดเมื่อย โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเก็าต์ โรคกระดูกอักเสบ โรคไขข้ออักเสบ รูมาติซึม
6. ระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน โรคต่อมไร้ท่ออักเสบ
7. ระบบสืบพันธุ์ เช่น อาการประจำเดือนผิดปกติ รังไข่ หรือมดลูกอักเสบ
8. ระบบเม็ดเลือดแดง เช่น โรคโลหิตจาง โรคลูคิเมีย เป็นต้น

จากบทความข้างต้น คงพอตอบคำถาม หรือข้อสงสัยได้เบื้องต้นแล้ว ก่อนที่คุณจะตัดสินใจหันมาดูแลสุขภาพของคุณด้วยการเลือก ทานเอนไซม์เพื่อเสริมสุขภาพ นะค่ะ

สงสัยหรือมีคำถาม สามารถถามมาได้ที่ คุณตู๋ tusora@hotmail.com

1 พฤษภาคม 2555

ฝ้า เรื่องไม่ง่าย แต่ป้องกันได้

ฝ้า” เป็นใครก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของเรา ฝ้า ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สวยใส เป็นปัญหาใหญ่ของหลาย ๆ คน

 

ฝ้า เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน ออกมามากผิดปกติ จะมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือดำบนใบหน้า บริเวณโหนกแก้ม จมูก หน้าผาก คาง และเหนือริมฝีปาก โดยจะเริ่มขึ้นที่ละน้อย จนขยายวงกว้างขึ้น พบมากในช่วงอายุ 30 – 40 ปี ขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิด ฝ้า

1. แสงแดด เป็นตัวกระตุ้นให้เกิด ฝ้า มากขึ้น หรือทำให้ ฝ้า มีสีเข้มขึ้น
2. ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ เช่น ในระยะตั้งครรภ์ ในวัยหมดประจำเดือน หรือในช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิด
3. พันธุกรรม เช่นชาวเอเชียจะเป็นฝ้าได้มากกว่าชาวตะวันตก เป็นต้น
4. ยา ยาบางประเภทอาจทำให้เกิดผื่นดำคล้ายฝ้า หรือกระตุ้นให้เกิดฝ้า
5. เครื่องสำอาง การแพ้น้ำหอมหรือเครื่องสำอางทำให้เกิดรอยดำคล้ายฝ้าได้

ฝ้า รักษาได้ หรือ ไม่
การรักษา ฝ้า ให้จางลง มีความเป็นไปได้ ขึ้นกับสภาพของเซลล์ และการฟื้นฟูเซลล์นั้น ๆ แพทย์ผิวหนังได้กล่าวไว้ว่า การรักษาฝ้า หรือทำให้ฝ้าจางนั้น ควรใช้ครีมทาฝ้าที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยทาอย่างสม่ำเสมอ และทาครีมกั้นแดด เพื่อปกป้องผิว และป้องกันฝ้าอีกทางหนึ่ง ฝ้า ที่เป็นในช่วงแรก ๆ นั้นจะมีโอกาสรักษาหายมากกว่า ผู้ที่เป็น ฝ้า นาน จนเซลล์สีผิวนั่นผิดปกติไปแล้ว หรือเรียกว่า เป็นฝ้ากินลึกถึงเซลล์ผิวชั้นใน ดังนั้น ควรรีบรักษา และหาทางป้องกัน ฝ้า ก่อนจะลามเป็น ฝ้า ในระดับ รักษายาก

เคล็ดลับการป้องกันฝ้า
1. ใช้ครีมกันแดดทุกวัน และทุกครั้งก่อนออกแดด โดยครึมกันแดดควรมีค่า SPF 30+ เป็นอย่างต่ำ เพื่อให้สามารถปกป้องผิวได้ และหลังออกแดด ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 1 – 2 แก้ว เพื่อฟื้นฟูเซลล์
2. ใช้ครีมปกป้องและยับยั้งการเกิดเม็ดสี เช่น เอนไซม์ทาสิวฝ้า ครีมทาฝ้า เป็นต้น เพื่อให้มีสารบำรุง และให้ความชุ่มชื้นกับผิว และยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ โดยควรทาเป็นประจำทุกเช้า และก่อนนอน หลังล้างหน้า
3. หลีกเลี่ยงการรับประทานยาฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด และเครื่องสำอางที่มีสารสเตียรอยด์ และสารปรอทเป็นส่วนผสมที่อาจทำให้เกิดฝ้าได้
4. ดื่มน้ำผักผลไม้รสเปรี้ยวเป็นประจำ เพื่อเสริมวิตามินซี และปกป้องผิวให้ขาวเนียน ใส ไร้ฝ้า
5. ล้างหน้าให้สะอาด ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน เช่น แชมพูเอ็นไซม์อาบน้ำสระผม หรือ สบู่เอ็นไซม์น้ำผึ้ง สูตรอ่อนโยน ช่วยลดริ้วรอยด่างดำ ไม่ทำลายผิว
6. ใช้ครีมบำรุงผิว ฟื้นฟูสภาพผิว เป็นประจำทุกวัน หรือสัปดาห์ละครั้ง เช่น ครีมพลังเอนไซม์บำบัดสูตรกลางวัน ทาทุกวันก่อนออกจากบ้าน ครีมมาสค์หน้าบัวหิมะ ใช้บำรุงผิวมากสค์หน้าทุกสัปดาห์เพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิว ลดต้นเหตุของการเกิด ฝ้า