google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

19 สิงหาคม 2553

ดื่มน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์เพื่อสุขภาพกันเถอะค่ะ

สวัสดีค่ะ วันนี้ บ้านรักษ์สุขภาพ จะขอกล่าวย้ำกันอีกครั้งในเรื่องของ การดื่มน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ ซึ่งเป็นสูตรเครื่องดื่มสุขภาพ ที่ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ บ้านสุขภาพ มูลนิธิภูมิปัญญาสากล ได้เน้นย้ำอยู่เสมอ สำหรับผู้ต้องการมีสุขภาพดี หรือผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพในแนวธรรมชาติบำบัด "


การทานอาหารเป็นยา คือ การป้องกันและรักษาสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด ที่เราสามารถทำได้เอง

การดื่มน้ำผักปั่น ... ช่วยอะไรหรือ??? เรามาเน้นย้ำกันอีกรอบ
การดื่มน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ นั้น เป็นการเติมสารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่ คลอโรฟิลล์ และเอนไซม์ที่จำเป็นเข้าสู่ร่างกาย เพื่อช่วยในการฟื้นฟูตับ ทำให้ตับอ่อนสามารถหลั่ง เอนไซม์ไปช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน พร้อมทั้งช่วยในการดูดซึมกรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุให้เข้าสู่เซลล์ได้ดีขึ้น จึงทำให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น

การดื่มน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ ทุกวัน จึงเป็นการช่วยฟื้นฟูการทำงานของร่างกายทั้ง 5 ระบบ คือ ระบบดูดซึม ระบบทางเดินหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อ ยิ่งดื่มสด ๆ เป็นประจำทุกวัน ช่วยต้านโรค ลดไขมันส่วนเกิน บำรุงผิว บำรุงเลือด ทำให้แข็งแรง

ดาวน์โหลด สูตรน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ ได้

หรือสำหรับ ผู้ที่ไม่มีเวลาทำน้ำผักปั่นดื่มได้เองทุกวัน บ้านรักษ์สุขภาพ ก็ขอแนะนำ บ้านน้ำผักปั่น ซึ่งให้บริการ น้ำผักผลไม้สดปั่นรวม 8 ชนิด ตามสูตร ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ ในราคามิตรภาพ ถุงละ 10 บาท สนใจติดต่อได้ที่ คุณก้อย ที่เบอร์โทร 081-398-8572

บ้านผักปั่น เป็นบ้านของคุณก้อย และคุณเต้ ผู้ที่สนใจ การดูแลรักษาสุขภาพในแนวธรรมชาติบำบัด ของดร.รสสุคนธ์ และมีประสบการณ์ใน การดื่มน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ สูตร ดร.รสสุคนธุ์ พุ่มพันธ์วงศ์ มานานกว่าหลายปี ซึ่งพบว่าทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง จึงอยากแนะนำ และส่งมอบสิ่งดี ๆ ให้กับเพื่อน ๆ หรือผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ จึงเปิดเป็น บ้านน้ำผักปั่น ขึ้นมา สนใจติดต่อ สอบถามได้ที่ คุณก้อย ตามเบอร์ข้างต้นค่ะ

15 สิงหาคม 2553

สูตรเครื่องดื่ม สาวสองพันปี

เหมาะสำหรับผู้ต้องการดูแลผิวพรรณ ชะลอริ้วรอย คงความอ่อนเยาว์ และผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบ หากได้ดื่มทุกวัน รับรองผิวพรรร จะชุ่มชื้น ผ่องใส เปล่งปลั่งอ่อนกว่าวัยเลยทีเดียว

สูตร เครื่องดื่มสาวสองพันปี ขอเปิดเผยความลับไว้ ณ ที่นี่

  • แอปเปิลแดง 2 ลูก
  • เสาวรส 2 ผล
  • สับปะรด 1 ซีก
  • บีทรูท 1 หัว
  • น้ำ 1/2 ถ้วย
  • เกลือป่น เล็กน้อย
  • สาวสองพัน

วิธีทำ

1. ล้างทำความสะอาดผลไม้ทุกชนิด แล้วแช่ลงในน้ำผสมน้ำเอนไซม์แช่ผัก 30 นาที นำขึ้นสะเด็ดน้ำ

2. นำแอปเปิลแดง บีทรูท มาใส่เครื่องสกัดแยกกาก เอาแต่น้ำไว้ แช่เย็นไว้สักพัก

3. ผ่าเสาวรสตามขวาง ควักเอาแต่เนื้อสีเหลือง ๆ มาใส่เครื่องปั่น กรองเอาแต่น้ำ แยกกาก

4. นำน้ำผลไม้ในข้อ 2 และ 3 มาใส่เครื่องปั่น แล้วเติมน้ำ สับปะรด และเกลือ ปั่นให้เข้ากัน

5. ดื่มได้ทันที และควรดื่มให้หมดภายใน ๑ ชั่วโมง เพื่อให้ได้คุณค่าอย่างครบถ้วน

ประโยชน์

เครื่องดื่มสาวสองพันปีนี้ มีประโยชน์สูงมาก เพราะอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนและวิตามินต่าง ๆ ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ รักษาริ้วรอย ชะลอความแก่ ต้านมะเร็ง รักษาแผลในลำไส้ หรือโรคลำไส้อักเสบ และช่วยในการย่อย

ได้สูตรเครื่องดื่มสาวสองพันปีไปแล้ว อย่าลืมเคล็ดลับดี ๆ นอนหลับให้เพียงพอ อย่าเครียดด้วยนะค่ะ และปฏิบัติตนตาม บทบัญยัติ ๑๐ ประการ ของดร.รสสุคนธ์ ด้วยก็จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากการเจ็บป่วยค่ะ

สามารถ ดาวน์โหลด สูตรเครื่องดื่มสาวสองพันปี และ บทบัญยัติ ๑๐ ประการ ได้ที่นี่

13 สิงหาคม 2553

วิธีการทำน้ำโหระพา


สูตรน้ำโหระพา ชมรมบ้านสุขภาพ

ดร.รสสุคนธ์

อุปกรณ์

1. น้ำสะอาด 1.5 ลิตร
2. โหระพา 4 - 5 ต้น
3. หม้อต้ม

วิธีทำ

นำน้ำสะอาดใส่ในหม้อ ต้มจนเดือด ปิดไฟ ใส่โหระพาที่ล้างสะอาด และแช่ในน้ำผสมเอนไซม์แช่ผักไว้แล้ว 15 นาที ใส่ลงไปในหม้อน้ำเดือด ปิดฝา ยกลง ทิ้งไว้สัก 10 - 15 นาที นำไปเสริฟ พร้อมดื่ม

วิธีใช้

1. ดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ 250 มิลลิลิตร ก่อนอาหาร 30 นาที ช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้สดชื่น (ตามบทบัญญัติ 10 ประการของชมรม)

2. ดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน ช่วยชะล้างของเสียออกจากเลือด บำรุงร่างกาย ทำให้สดชื่น

ประโยชน์ของโหระพา
ใช้เป็นยาหรือเป็นอาหาร สามารถใช้ได้ทั้งต้น ใบ เมล็ดและผล ใบและลำต้นของโหระพามีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก จึงมีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคได้หลายชนิด ใบมีกลิ่นฉุน รสร้อน แก้ลมวิงเวียน ขับลมในลำไส้ช่วยให้ผายลม แก้ปวดปวดท้อง ท้องขึ้น จุกเสียด ขับเสมหะ ตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบ ยอดอ่อนตำปิดแผลงูกัด ปรุงกับน้ำนมราชสีห์ รับประทานเพิ่มน้ำนม ตำรวมกับแมงดาตัวผู้พอกแก้พิษแมลงกัดต่อย ส่วนเมล็ดแก้ไข้ ขับพยาธิ ขับน้ำเหลืองเสีย บดพอก พอกฝีหรือแผลอักเสบ แช่น้ำรับประทานเป็นยาระบายท้อง แก้อาหารไม่ย่อย หรือจะใช้ใบโหระพาตากแห้งชงน้ำร้อนอมกลั้วคอแก้กลิ่นปากหรือหายใจมีกลิ่นเหม็น
ดาวน์โหลด บทบัญยัติ 10 ประการ และ สูตรน้ำโหระพา

12 สิงหาคม 2553

น้ำสกัดชีวภาพพลังเอนไซม์บำบัด

น้ำหมักชีวภาพ มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น น้ำสกัดชีวภาพ น้ำเอนไซม์ น้ำจุลินทรีย์ น้ำหมักพืช น้ำไอออนิก พลาสมา เซลล์ฟู้ดซ์ ซึ่งได้จากการหมักพืช ผัก ผลไม้ สมุนไพร กับสารให้ความหวาน เช่น น้ำตาล น้ำผึ้ง ในสภาวะที่มีแบคทีเรียผลิตกรดแลกติก (lactic acid bacteria)  แรกเริ่มนั้นถูกนำมาใช้เพื่อการเกษตรและสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ด้านปศุสัตว์ เช่น ส่งเสริมสุขภาพสัตว์ กระตุ้นการเจริญของพืช ทำความสะอาดบริเวณเลี้ยงสัตว์ และใช้ในครัวเรือน เช่น ผสมน้ำยาล้างจาน ซักผ้า แชมพู แม้กระทั่งใช้อาบน้ำขจัดกลิ่นตัว
          

     กระแสความนิยมการบริโภคน้ำหมักชีวภาพเริ่มเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์น้ำลูกยอ เมื่อมีธุรกิจเอกชนนำเข้าน้ำลูกยอมาจำหน่ายในราคาสูง และอ้างสรรพคุณที่มีต่อสุขภาพไว้มากมาย การบอกกล่าวสรรพคุณปากต่อปาก ทำให้เครือข่ายเกษตรกรและกลุ่มชุมชนนับพันกลุ่มนำน้ำหมักชีวภาพไปใช้เพื่อดูแลสุขภาพ ทั้งในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ภูมิแพ้ มะเร็ง โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น ปวดเมื่อย ไขมันในเลือดสูง และผู้ติดเชื้อ HIV ก่อให้เกิดกระแสความนิยมทั้งในการบริโภคและการผลิตอย่างแพร่หลาย ส่งผลถึงน้ำหมักสมุนไพรชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น น้ำพลูคาว และน้ำมะขามป้อม รวมทั้งน้ำสมุนไพรรวม ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ของผลิตภัณฑ์นี้ในท้องตลาดผลิตโดยผ่านกระบวนการหมักด้วยวิธีธรรมชาติ มีวิธีการผลิตอย่างง่าย มีสูตรการหมักหลากหลาย แต่ขาดข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์รองรับ จึงยากต่อการควบคุมคุณภาพ ความปลอดภัย และทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในตัวผลิตภัณฑ์
image
     จากโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพ ของสถาบันนวัตกรรมสุขภาพก้าวหน้า โดยการสนับสนุนจากงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อชนบทและชุมชน ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และศูนย์ประสานงานพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์สุขภาพชุมชน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ.2546 
โดยการสำรวจแหล่งผลิตและเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในท้องตลาดประเทศไทยกว่า 70 ผลิตภัณฑ์มาวิเคราะห์ พบว่ามีความปลอดภัยทางกายภาพ ไม่มีการปนเปื้อนของโลหะ เศษไม้ เศษดิน

แต่พบปัญหาสำคัญจากการปนเปื้อนทางชีวภาพ เช่น การปนเปื้อนของยีสต์ รา และ
image                       image
การปนเปื้อนทางเคมี คือ มีเมทานอล (เมทิลแอลกอฮอล์) และเอทานอล (เอทิลแอลกอฮอล์) ซึ่งส่งผลต่อตับ ระบบประสาท และสายตา โดยเฉพาะเมทานอล พบว่าร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพในท้องตลาด มีปริมาณเมทานอลเกินเกณฑ์มาตรฐานของผลิตภัณฑ์ชุมชนน้ำหมักพืช ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 240 พีพีเอ็ม และพบว่าผลิตภัณฑ์ร้อยละ 30 มีปริมาณของเมทานอล เกินเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอาหารออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
     เมทานอลในน้ำหมักชีวภาพเกิดจากการย่อยสลายเพกตินที่พบในธรรมชาติของพืชโดยเฉพาะลูกยอ โดยเอนไซม์ย่อยสลายเพกตินของพืช (เอนไซม์เพกตินเมทธิลเอสเทอเรส) และพบในจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนบางชนิด เช่น ราดำ
การป้องกันการเกิดเมทานอลในน้ำหมักชีวภาพทำได้โดยการให้ความร้อนเพื่อทำลายเอนไซม์ชนิดนี้ การควบคุมขนาดของชิ้นพืช ก็ควบคุมการเกิดเมทานอลได้ ส่วนเอทานอลเกิดจากการปนเปื้อนของยีสต์ จึงต้องควบคุมการปนเปื้อนของยีสต์ และน้ำตาลเนื่องจากเป็นอาหารของยีสต์
     นวัตกรรมการผลิตน้ำหมักชีวภาพที่ดี ต้องสามารถควบคุมผลิตภัณฑ์ให้ปลอดจากการปนเปื้อนของเมทานอล และเอทานอล นอกจากการใช้ความร้อนแล้ว การควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพจากการปนเปื้อนของยีสต์และจุลินทรีย์ก่อโรคยังสามารถทำได้โดยนำเทคโนโลยีต้นเชื้อมาใช้ ซึ่งช่วยส่งเสริมคุณประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย

     การใช้หัวเชื้อเอนไซม์หรือต้นเชื้อจุลินทรีย์โปรไบโอติกกลุ่มแลกโตบาซิลลัส มีผลดีต่อสุขภาพ เพราะผลิตกรดแลกติกและแบคเทอริโอซิน (bacteriocin) ช่วยทำลายเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร จุลินทรีย์เสริมนี้สามารถเจริญและยึดเกาะผนังลำไส้เพื่อไม่ให้เชื้อก่อโรคเจริญได้ ช่วยปรับสมดุลเชื้อจุลินทรีย์ประจำถิ่นในร่างกาย ซึ่งมีรายงานถึงการใช้เพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ ทำให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น และช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด นอกจากนี้ในกระบวนการหมักยังผลิตกรดไขมัน กรดอะมิโน และวิตามิน ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  รวมทั้งสารออกฤทธิ์ในพืชที่นำมาใช้หมักหรือสกัด ยังช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคหลายชนิด น้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภคจึงมีสรรพคุณค่อนข้างมากในด้านการช่วยส่งเสริมสุขภาพ

     นอกจากมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนน้ำหมักพืช (มผช.) ซึ่งดูแลโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวที่มีในปัจจุบันแล้ว ผู้บริโภคควรพิจารณาประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อเป็นเกณฑ์การตัดสินใจเบื้องต้นในการเลือกบริโภคน้ำหมักชีวภาพ เช่น
 
     - ความน่าเชื่อถือของผู้ผลิตและแหล่งผลิต ผู้ผลิตต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพ หรือมีนักวิชาการหรือผู้รู้คอยควบคุมหรือเป็นที่ปรึกษา
  
     - การบรรจุหีบห่อของผลิตภัณฑ์ ต้องบรรจุในภาชนะที่สะอาด ปิดสนิท ป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกภายนอกได้ ภาชนะที่เป็นขวดแก้วเหมาะสมที่สุด ถ้าบรรจุในขวดพลาสติก ต้องมั่นใจว่าไม่มีรอยรั่วหรือรูเจาะบนฝา เพราะเป็นจุดที่จุลินทรีย์สามารถเข้าไปปนเปื้อนได้ในผลิตภัณฑ์
 
     - มีเอกสารแสดงผลการวิเคราะห์คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพ ได้แก่ องค์ประกอบทางเคมี องค์ประกอบทางชีวภาพจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ และหากกล่าวถึงสรรพคุณ ควรระบุว่าใช้ไปแล้วจะเกิดผลดีอย่างไร และข้อควรระวังในการบริโภคเป็นอย่างไร จากแหล่งที่เชื่อถือได้รับรอง


รายงานโดย ผศ.ดร.ไชยวัฒน์  ไชยสุต คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดาวน์โหลด บทบัญยัติ 10 ประการ ในการดูแลสุขภาพ
ติดต่อสอบถาม สั่งซื้อที่ไลน์ @qwd5997q

9 สิงหาคม 2553

วิธีเพิ่มความยากอาหาร หรือเพิ่มการบริโภคอาหารในภาวะเบื่ออาหาร

การดูแลเรื่องอาหารสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเบื่ออาหาร ไม่อยากรับประทาน หรือรับประทานอาหารได้น้อย สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้ป่วยต้องมีกำลังใจและเข้าใจอย่างดีว่า อาการเกิดจากสาเหตุใด และบริโภคอาหารเพื่อวัตถุประสงค์ใด

การรักษาโรคมะเร็ง หรือโรคบ้างโรค ในระหว่างการรักษาอาจมีอาการหรือผลข้างเคียงเกิดขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยต้องมีความเข้าใจ และยอมรับว่า

เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น โดยอาการจะมากหรือน้อย ขึ้นกับสภาพร่างกายก่อนเริ่มรักษา
ผู้ป่วยต้องมีกำลังใจ และเข้าใจว่าการทานอาหารมีความจำเป็นในการรักษาอย่างไหร่ พยายามทานอาหารเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ทานได้น้อยดีกว่าไม่ทานเลย


วัฎจักรหรือวงจรแห่งความเจ็บป่วยในระหว่างพักฟื้น คือ

เบื่ออาหาร 
ได้รับอาหารไม่เพียงพอ 
ผลข้างเคียงมากขึ้น
ยิ่งเบื่ออาหาร 
ยิ่งรับประทานอาหารไม่ได้  
ยิ่งเพลีย 
ยิ่งเบื่ออาหาร
ยิ่งเพลีย 
ร่างกายไม่ฟื้นตัว 
ผู้ดูแล ครอบครัวเป็นกังวล เป็นทุกข์ 
ผู้ป่วยเป็นกังวลเป็นทุกข์ 

เป็นวนเวียนอยู่อย่างนี้ ดังนั้น ต้องทำความเข้าใจและตัดวงจรนี้ออกให้ได้ด้วยตัวผู้ป่วยเอง

หากผู้ป่วยมีกำลังใจ และเข้าใจการเกิดวงจรนี้ และพยายามตัดวงจรนี้ให้ได้ จะทำให้ ผู้ป่วยบริโภคได้ ผู้ดูแล ครอบครัวหมดกังวน ผู้ป่วยลดความกังวล ความเครียด ร่างกายแข็งแรงขึ้น ผลข้างเคียงหรือาการแทรกซ้อนลดลง ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายฟื้นตัวดี ผลการรักษาดี

ดังนั้น แนวทางความร่วมมือของผู้ป่วยและผู้ดูแลต้องช่วยกัน มีดังนี้
  • พยายามปรับเปลี่ยนรายการอาหารให้หลากหลาย หรือออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านบ้าง
  • เตรียมอาหารแต่ละมื้อไม่ต้องมาก เมื่อกินหมดจะได้มีกำลังใจ
  • เพิ่มมื้ออาหารให้บ่อยขึ้น เป็นอย่างน้อยวันละ 5 -6 มื้อ เพื่อให้รับประทานได้บ่อย แต่ไม่ต้องมาก
  • ควรเป็นอาหารที่ปรุงง่าย ผักผลไม้ ขนมหวาน และมีของขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ เพื่อให้หยิบทานได้ง่าย ๆ
  • นั่งรับประทานอาหารในที่อากาศระบายได้ดี บรรยากาศดี 
  • ไม่รับประทานคนเดียว ควรรับประทานกับครอบครัว หรือมีคนนั่งคุยด้วย
  • เลือกอ่านหนังสือภาพสวย ๆ ฟังเพลงเบา ๆ
  • ระวังอย่าให้ท้องผูก จิบน้ำบ่อย ๆ (หากมีอาการท้องผูก ให้งดข้าวกล้องก่อน)
  • งดอาหารทอดหรือผัด เปลี่ยนเป็นต้ม ตุ๋น หรือทอดน้ำแทน
  • จัดตกแต่งโต๊ะอาหาร หรือจานเพื่อเพิ่มความยากอาหาร
  • ออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยกระตุ้นความยากอาหาร
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
  • แต่งตัวให้สดชื่น รักษาความสะอาดของร่างกาย และเครื่องใช้ เครื่องแต่งตัว
  • คิดในทางบวก พูดคุย บอกเล่าเรื่องที่กังวลให้คนใกล้ชิดฟังอย่าเก็บไว้คนเดียว
  • อ่านหนังสือ ฟังธรรม หรือสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าอยากทำ
แนวทางเหล่านี้ เป็นเพียงตัวอย่าง เพื่อให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลเข้าใจ และพอนึกภาพออก และปรับใช้ให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละค่ะ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การพูดคุยทำความเข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย ให้ผู้ป่วยยอมรับสภาพ และมีกำลังที่จะเริ่มต้นทำเองค่ะ

สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง การดูแลผู้ป่วย ผู้ดูแลก็ควรดูแลสุขภาพ กาย และใจ ของตนเองไปพร้อม ๆ กับผู้ป่วยด้วยนะค่ะ เริ่มต้นที่ ดื่มน้ำทุกชั่วโมง ดื่มน้ำผักปั่นทุกวัน ง่าย ๆ แค่นี้ ก็เป็นการดูแลสุขภาพไม่ให้เหน็ดเหนื่อยหรือล้มเจ็บไปอีกคน

"ผู้ป่วย และคนดูแลผู้ป่วย ต้องปรึกษาพูดจากันในแนวทางเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ
ความร่วมมือกันของทั้งสองฝ่ายจะช่วยให้กำลังใจผู้ป่วย 
และช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีกำลังใจในการช่วยกันให้หายจากโรคภัยต่าง ๆ ได้"

6 สิงหาคม 2553

โภชนาการบำบัดกับโรคไต

เมื่อไม่นานมานี้ได้ดูละครเรื่องหนึ่ง ตัวละครชายมีปัญหาเรื่องไตเริ่มเสื่อม และคุณหมอ (ในเรื่อง)ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับกับการดูแลเบื้องต้น ว่า การดูแลผู้ป่วยโรคไตจะสวนทางกับผู้ป่วยอื่น ๆ พวกผัก ผลไม้ หรืออาหารสุขภาพต้องงด โดยเฉพาะอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ๆ เช่น น้ำส้ม ผัก ผลไม้ สีจัด ๆ ต่าง ๆ พอได้ฟังเพียงเท่านี้ ก็เครียดขึ้นมาทันทีเลยค่ะว่า ห้ามทุกอย่าง แล้วคนดูแลจะควรเลือกอาหารประเภทใดให้ผู้ป่วยทานกันละ แล้วอาหารที่ว่ามีโพแทสเซียมสูงที่ว่า ประกอบด้วยผัก ผลไม้สีจัด ๆ จริงหรือ…
วันนี้ทาง บ้านรักษ์สุขภาพ จึงขอนำข้อสงสัยประเด็นนี้มาอธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคไตกันหน่อยนะค่ะ โดยเฉพาะการใช้ โภชนาการบำบัดกับโรคไต


เริ่มต้นที่ เราต้องเข้าใจก่อนว่า โรคไต เกิดจากสาเหตุใด อาจเกิดได้ทั้งจากกรรมพันธ์ อุบัติเหตุ การอักเสบ การติดเชื้อ หรือการอุดตัน เป็นต้น เช่น ไตมีข้างเดียวตั้งแต่กำเนิด เกิดอุบัติเหตุไตเสียหาย เกิดการติดเชือที่ไต ท่อกรวยไตอักเสบ นิ่ว มะเร็งที่ไต มะเร็งที่ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
แล้วลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็น โรคไต คือ
  • ปัสสาวะเป็นเลือด หรือลิ่ม ๆ
  • ปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ สีชาแก่ ๆ สีเหลืองเข้ม ๆ หรือมีฟองขาว ๆ เหมือนสบู่
  • ปัสสาวะขุ่น หรือมีผลึกต่าง ๆ
  • ความดันโลหิตสูง เนื่องจากไตสร้างสารควบคุมความดันโลหิต ประกอบกับไต มีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ความดันโลหิตจะสูงได้ ในระยะที่ไตวายมาก ๆ
ทำไม ผู้ป่วย โรคไต ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มี โพแทสเซียมสูง
โพแทสเซียม เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ที่ถูกขับออกทางไต เมื่อมีภาวะไตทำงานไม่ปกติ หรือเสื่อม จะเกิดการคั่งหรือสะสมของโพแทสเซียม เมื่อระดับโพแทสเซียมสูงมากในร่างกาย อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ หรือหัวใจวายอย่างเฉียบพลัน
นอกจากนั้น ไตยังทำหน้าที่ในการควบคุมระดับเกลือแร่ในร่างกาย ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไตจึงต้องควบคุมดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอาหารที่มีเกลือ หรือรสเค็ม ต้องหลีกเลี่ยง หรือระมัดระวังเป็นพิเศษ
ตัวอย่างอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง
* ผักที่มีโพแทสเซียมสูง โรคไต ควรงด ได้แก่ หัวปลี ผักชี ต้นกระเทียม ที่มีมากได้แก่ บร๊อคโคลี่ แครอท มันเทศ ผักบุ้ง เห็ดฟาง มะเขือพวง มะเขือเปราะ ใบแมงลัก โหระพา หน่อไม้ฝรั่ง หอมแดง ผักปวบเล้ง มันฝรั่ง มะเขือเทศ ดอกกระหล่ำ ถั่วต่างๆ เม็ดทานตะวัน กาแฟ น้ำนม ผักที่มีโพแทสเซียม ปานกลางได้แก่ เห็ดนางฟ้า แตงกวา ฟักเขียว พริกฝรั่ง หัวผักกาดขาว มะเขือเทศสีดา ผักกาดขาวใบเขียว พริกหยวก  ผักที่มีโพแทสเซียมน้อยได้แก่ บวบเหลี่ยม ถัวพู หอมหัวใหญ่ ผักที่มีน้อยที่สุดคือเห็ดหูหนู

   * ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง โรคไต ควรงด ได้แก่ มากที่สุดคือทุเรียนหมอนทอง และชะนี รองลงมาได้แกมะพร้าว  กล้วย ลำไยพันธ์ต่างๆ  มีปานกลางได้แก ฝรั่ง มะขาม กระท้อน  ส้ม ลางสาด องุ่น มะม่วง มะละกอสุก ลิ้นจี่ ละมุด ขนุน ลูกพรุน ลูกเก็ด
image
ผักและผลไม้ที่ผู้ป่วย โรคไต ทานได้ เช่น
  • ผักและผลไม้ที่พอรับประทานได้ แต่ปริมาณไม่มากได้แก่ ถั่วพู ถั่วผักยาว มะเขือยาว หน่อไม้ตรง ผักคะน้า ถั่วลันเตา มะระ หัวผักกาดขาว มะม่วง มะละกอ องุ่น แตงโม สับปะรด แอปเปิล ชมพู่ เป็นต้น
  • ผักที่รับประทานได้ กะหล่ำปลี แตงกวา บวบ ฟักเขียว ถั่วงอก เป็นต้น
    อาหารที่ โรคไต ควรหลีกเลี่ยง
  • หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เช่น หมูเค็ม เบคอน ไส้กรอก ผักดอง มัสตาร์ด และเนยแข็ง
  • อาหารตากแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม หอยเค็ม กุ้งแห้ง ปลาแห้ง
  • เนื้อสัตว์ปรุงรส ได้แก่ หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง
  • อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กซอง ซุปซอง
  • อาหารสำเร็จรูปบรรจุถุง เช่น ข้าวเกรียบ ข้าวตังปรุงรส มันฝรั่ง
  • เครื่องปรุงรสที่มีเกลือมาก เช่น ซุปก้อน ผงชูรส ผงฟู
  • อาหารหมักดองเค็ม เช่น กะปิ เต้าหู้ยี้ ปลาร้า ไตปลา ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง แหนม ไส้กรอกอีสาน
โภชนาการบำบัดกับโรคไต ผักและผลไม้ที่ผู้ป่วย โรคไต รับประทานได้ ทานแล้วมีประโยชน์อย่างไร เรามาลองดูกันนะค่ะ
โภขนาการบำบัดกับโรคไต
  • สับปะรด ปกป้องไต รับประทานสับปะรดวันละ 5 – 6 ชิ้น หรือ น้ำสับปะรด วันละ 1 แก้ว จะลดความเสื่ยงต่อการเกิด โรคไต
  • ลูกเดือย น้ำลูกเดือยที่ผู้ป่วยโรคไตต้องดื่ม ดื่มน้ำลูกเดือยวันละ 2 กล่อง หรือต้มดื่มเองวันละ 2 แก้ว ลูกเดือยจะช่วยบำรุงไตให้มีอาการดีขึ้น
  • แอปเปิลเขียว รักษาไต รับประทานแอปเปิลเขียววันละ 1 ผล หรือดื่มน้ำแอปเปิ้ลวันละ 1 แก้ว ช่วยรักษาโรคไต
  • ฟักทอง ชะลอไตเสื่อม นำฟักทองมาทำอาหารผัก ต้ม หรือทำน้ำฟักทองดื่มทุกวัน ช่วยเสริมสมรรถภาพการทำงานของไต
  • แตงโม รับประทานแตงโมวันละ 8 – 9 ชิ้น แตงโมมีโพแทสเซียมต่ำ ผู้ป่วยโรคไตทานได้
  • หอมหัวใหญ่ รับประทานหอมหัวใหญ่วันละ 1 มื้อ หอมหัวใหญ่มีโพแทสเซียมต่ำ ผู้ป่วยโรคไตทานได้
  • แตงกวา เป็นผักที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโรคไต ใช้ประกอบอาหารได้
  • กะหล่ำปลี อุดมไปด้วยแร่ธาตุ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อโรคไต ใช้ประกอบอาหารได้
หรือ สนใจ สูตรน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ ดาวน์โหลดได้ที่นี่
      หากมีข้อสงสัย ต้องการสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ tusora@gmail.com

    4 สิงหาคม 2553

    ประกาศ เรื่องน้ำผักปั่น สูตรดร.รสสุคนธ์

    เรียน ท่านสมาชิกทุกท่าน

    สูตรน้ำผักปั่น บ้านสุขภาพ ดร.รสสุคนธ์ ได้มีการเผยแพร่ลงในหนังสือนิตยสาร Be Well ฉบับเดือนสิงหาคม 2553 สามารถหาอ่านได้ตามแผงหนังสือทั่วไป

    หรือ ดาวน์โหลดอ่านได้ที่นี้ น้ำผักปั่น http://www.ziddu.com/download/11069848/VegetableJuiceforHealthhome.pdf.html

    จีงเรียนมาให้ทราบค่ะ

    ขอบพระคุณค่ะ

    ตู๋