google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

31 สิงหาคม 2552

Herbal Night Cream ครีมเอนไซม์ปรับสภาพผิวสำหรับกลางคืน

Herbal Night Cream ครีมเอนไซม์ปรับสภาพผิวสำหรับกลางคืน

ขนาดบรรจุ 50 กรัม

ราคาปกติ 800 บาท พิเศษ 650บาทไม่รวมค่าขนส่ง

ใช้บำรุงผิวเวลากลางคืน ช่วยในการปรับสภาพผิวความเป็นกรดด่าง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ และเก็กกักความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์ผิว ทำให้ผิวเนียนกระจ่างใส มีน้ำมีนวล ลดริ้วรอยบนใบหน้า

ส่วนประกอบ
เอนไซม์จากผลไม้เมืองร้อน น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้และน้ำมันงา

วิธีใช้
หลังล้างทำความสะอาดใบหน้าแล้วเช็ดให้หมาด ๆ ทาครีมบำรุงผิวบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้าก่อนเข้านอน

ผลิตโดย ชมรมบ้านสุขภาพ

คำจากผู้เคยใช้
  1. เมื่อเปิดมาจะพบว่ามีแผ่นฟิลม์สีน้ำตาลเคลือบอยู่บนผิวครีม ให้ตักออกหรือนำมาทาที่ข้อศอก จะช่วยลดริ้วรอยแห้งกร้านได้ดีมาก ๆ
  2. จะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แต่บางกระปุกจะมีกลิ่นคล้ายกลิ่นหมัก เนื่องจากส่วนประกอบน้ำเอนไซม์ในครีมนั้นยังมีปฏิกิริยาการหมักอยู่ สามารถใช้ทาได้ไม่เป็นอันตราย หรือนำเก็บไว้จนครีมทำปฏิกิริยาการหมักคงที กลิ่นจะค่อย ๆ ระเหยไป ไม่ต้องตกใจหรือนำไปทิ้ง

ผลิตภัณฑ์ใกล้เคียง
ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของชมรมบ้านสุขภาพ

UV White Day Cream ครีมบำรุงผิวพลังเอนไซม์สำหรับกลางวัน

UV White Day Cream ครีมบำรุงผิวพลังเอนไซม์สำหรับกลางวัน


ขนาดบรรจุ 50 กรัม

ราคาปกติ 800 บาท พิเศษ 650 บาทไม่รวมค่าขนส่ง

ใช้บำรุงผิวเวลากลางวัน มีสารปกป้องผิวจากแสงแดดจากธรรมชาติ ผสานกับกรดจากผลไม้ เอนไซม์จากผลไม้ และน้ำผึ้ง ช่วยในการบำรุงผิว ปรับสภาพผิวให้เนียนใส กระจ่างขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

ส่วนประกอบ
เอนไซม์จากผลไม้เมืองร้อน น้ำผึ้ง และน้ำมันงา

วิธีใช้
หลังล้างทำความสะอาดใบหน้าแล้วเช็ดให้หมาด ๆ ทาครีมบำรุงผิวบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้าก่อนทาแป้ง

ผลิตโดย ชมรมบ้าน(รักษ์)สุขภาพ กรุงเทพ

คำจากผู้เคยใช้ พบว่า
  1. ครีมบำรุงผิวพลังเอนไซม์สำหรับกลางวัน มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
  2. เมื่อเปิดมาบนผิวหน้าของครีมอาจมีฟิลม์สีน้ำตาล ไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นปฏิกิริยาการหมัก หรือการเปลี่ยนแปลงของครีม ไม่เป็นอันตราย ให้ตักแผ่นนี้ออก หรือใช้ช้อนปาดออกเท่านั้น
  3. เมื่อทาบนใบหน้าบาง ๆ เหมือนกับครีมบัวหิมะจากเมืองจีน ทาไปแล้วจะรู้สึกแสบ ๆ เย็น ๆ เล็กน้อย
  4. เมื่อใช้เป็นประจำพบว่า สิวลดลง ใบหน้าเนียนขึ้น และช่วยลดอาการ sun burn หรือ ผิวไหม้จากแสงแดด ได้ดีมาก ๆ



อาการแพ้เครื่องสำอาง
 เป็นผื่นแดงเห่อขึ้น บริเวณที่ทา ให้หยุดใช้ทันที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ประคบน้ำเย็น และทาน้ำอุ่น น้ำผักปั่น หรือน้ำผลไม้สดบ่อย ๆ จะช่วยบรรเทาอาการแพ้ และทำให้หายเร็วขึ้น

ผลิตภัณฑ์ใกล้เคียง

30 สิงหาคม 2552

การใช้น้ำหมักผลไม้กระตุ้นการสร้างสเต็มเซลล์


การใช้น้ำหมักผลไม้รวมเพื่อการย่อยสลาย และสร้างความสมบูรณ์ให้กับเซลล์ 100,000,000,000 
เซลล์เพื่อการกระตุ้นให้ขบวนการสร้าง สเต็มเซลล์(แทนเซลล์ หายถึง Nucleus ) เพื่อการเกิดสาร Interferon 
ด้วยวิธีธรรมชาติ
 

เขียนโดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ วันที่ 3 มีนาคม 2549

เหตุผล : เนื่องจากร่างกายมีองค์ประกอบของเซลล์จำนวน 100,000,000,000 เซลล์ ในอวัยวะต่าง ๆ รวมถึง
เซลล์กล้ามเนื้อ, เม็ดเลือด, สมอง, ไขกระดูก, ต่อมไร้ท่อ, เส้นเอ็น, กระดูก, น้ำเหลือง ตลอดจนสารที่อยู่ในรูป
ของของเหลวที่เป็นตัวนำพา และกระตุ้นให้เกิดการดำรงความเป็นชีวิต โดยให้มีความทนทานต่อการถูกทำลาย
ของเชื้อโรค แรงกระแทก, การฉีกขาด, การผ่าตัด มันเป็นส่วนสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจกลับเซลล์ทั้งหมด 100,000,000,000 เซลล์ นี้ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้างในการดูแล และเซลล์ทำหน้าที่อะไร โดยภาพรวมดังนี้

  • เซลล์
  • สร้างพลังงาน
  • กระตุ้นใหเกิดภูมิคุ้มกัน
  • ดำรงความเป็นชีวิต การทำงาน ประสานเชื่อมโยงของทุกส่วนในร่างกายให้แข็งแรงทนทานต่อการรบกวนใน

ส่วนประกอบของเซลล์
หน้าที่
ผนังเซลล์ป้องกันอันตราย สร้างความแข็งแรง และทำให้เซลล์คงรูปอยู่ได้
เยื่อหุ้มเซลล์ควบคุมการผ่านเข้าออกของสาร
นิวเคลียสควบคุมการทำงานของเซลล์
ไซโทพลาสซึมสังเคราะห์สารและสะสมสารต่างๆ
ออแกเนลล์
เซนทริโอลใช้ในการแบ่งเซลล์ในสัตว์
กอลจิบอดีสร้างและสะสมฮอร์โมน เอนไซม์ และสารอื่น
ไลโซโซมสะสมเอนไซม์สำหรับย่อยสลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในเซลล์
ไมโทคอนเดรียทำหน้าที่ผลิตพลังงานในกระบวนการหายใจระดับเซลล์
คลอโรพลาสต์สร้างสารอาหารโดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
ไรโบโซมสังเคราะห์โปรตีน
แวคิวโอลเก็บของเสียที่เกิดจากการทำงานของเซลล์ และรักษาสมดุลของน้ำในเซลล์

ในทุกรูปแบบ - เช่น

1) ร่างกายอยู่ในที่ทีมีมลพิษ
2) ร่างกายได้อาหารที่เป็นพิษ
3) ร่างกายมีอารมณ์ที่เป็นพิษ
4) ร่างกายขาดน้ำจนมีความร้อนสูง
5) ร่างกายขาดการพักผ่อนจนฮอร์โมนแปรปรวน และเกิดพิษในระดับเซลล์เม็ดเลือด, กระดูก, ไขกระดูก
6) ร่างกายขาดสารอาหารจนไม่สามารถขับพิษ
7) ร่างกายได้สัดส่วนสารอาหารพิษ จนเกิดการสะสมพิษ
8) ร่างกายขาดการนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย และนำออกซิเจน เข้าร่างกายไม่ได้สัดส่วนพอดี
จนเกิดพิษ


ทั้งหมดทำให้เซลล์ในร่างกาย ถูกรบกวน และค่อย ๆ อ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนเกิดอาการต่าง ๆ คือ วิงเวียน, คลื่นไส้,
อาเจียร, นอนไม่หลับ, อ้วน, อารมณ์เสีย และลืมง่าย, ปวดเมื่อย จนกระทั่งเกิดอาการกระทบถึง ระบบอวัยวะ คือ
ความดันโลหิตสูง (ไตเสื่อม) ไขมันและคลอเรสเตอรอลสูง (ตับเสื่อม) เบาหวาน (ตับอ่อนเสื่อม)

ฉะนั้นขบวนการพัฒนาเซลล์ ซึ่งทางการแพทย์ตะวันตกจะใช้คำว่า ขบวนการสร้างสเต็มเซลล์ แปลว่า การสร้าง
แกนเซลล์ คือการทำให้นิวเคลียสแข็งแรง

เนื่องจากนิวเคลียส คือ ตัวกระตุ้น ให้เกิดสารอินเตอร์ฟีรอล ซึ่งจะไม่มีผลข้างเคียง ในการสร้างด้วยขบวนการทาง
ธรมชาติ

สารอินเตอร์ฟีรอล (Interferon = IFN) คือ สารที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับไวรัส และอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิด
เซลล์มะเร็ง ในขณะที่ร่างกายได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้อง จนทุกเซลล์ ในร่างกายสมบูรณ์ สารอินเตอฟีรอน
(Interferon) ที่มีอยู่ในระดับต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างดี และร่างกายจะไม่มีโอกาสเป็นมะเร็ง


ในขณะที่ในร่างกายมีอวัยวะที่สำคัญ คือ ม้าม (Spleen) ซึ่งเป็นผู้สร้างสาร Tuftsin ซึ่งเรียกว่า leukokinin ทำให้
ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ขบวนการสร้าง แคนเซล หรือ สเต็มเซลล์ ร่างกายมีระบบดำเนินการอยู่แล้ว จึงขอเชิญชวนทุกท่านให้โอกาสร่างกาย
ของท่าน ได้สร้างแกนเซลล์ หรือ Stem cell สเต็มเซลล์ โดยไม่ต้องฉีดสารสังเคราะห์ อินเตอฟิรอน ซึ่งใช้ขบวนการฉีด
เข้าสู่ร่างกาย เช่นเดียวกันกับการฉีดอินซูลิน หรือ ยาเบาหวาน

เนื่องจากอินเตอฟีรอน สังเคราะห์ ถ้าใช้นานเกินไป ร่างกายจะเกิดขบวนการเรียนรู้ การทดแทนจะทำให้เซลล์ปกติของ
ร่างกายเกิดการหยุดสร้างอินเตอร์ฟีรอลของตนเอง จนเกิดการติดเชื้อเฉียบพลัน ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ อินเตอฟีรอล
สังเคราะห์จะเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง น้ำท่วมปอดง่าย, ท้องอดืดง่าย ๆ เป็นหวัดประจำ

ยาอายุวัฒนะ

ยาอายุวัฒนะ

คำว่า “ยาอายุวัฒนะ” ถือว่าเป็นยอดยาบำรุงและช่วยสร้างเสริมพละกำลังให้ผู้ที่รับประทานมีสุขภาพที่ดี ยากที่จะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่างๆ เพราะยาเข้าไปบำรุงร่างกายให้แข็งแรง สมบูรณ์ มีความสุข

ยาอายุวัฒนะ เป็นยอดยาที่ถูกค้นคว้ามาจากยุคโบราณนับเป็นพันๆ ปี แพทย์แผนโบราณสามารถนำเอาตัวยาต่างๆ มาใช้ได้อย่างชาญฉลาด ศึกษาเรื่อยมา สืบทอดต่อเนื่องกันไม่มีวันสิ้นสุด คนเก่าแก่ในสมัยนี้ก็เช่นเดียวกัน รู้ดีว่า ยาอายุวัฒนะ นั้นมีคุณค่าอย่างไร ขนาดไหน และมีความสำคัญอย่างไร

สูตรยาสมุนไพรอายุวัฒนะขนานที่จะแนะนำนี้ ได้มาจากยอดนักชิมแห่งเมืองไทย หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ซึ่งท่านรับประทานอยู่เป็นประจำ

ท่านกล่าวว่า “เป็นยาอายุวัฒนะที่วิเศษมากจริงๆ เป็นยอดยาบำรุงไตชั้นเด็ดจริงๆ รับประทานยานี้แล้วก็มีชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขดีเสมอ ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แถมมีทีเด็ดที่รักษาโรคเบาหวานได้ดีอีกด้วย เป็นยาขับปัสสาวะที่ดี เวลาปัสสาวะออกมานั้น น้ำปัสสาวะใสเป็นตาตั๊กแตนเลยทีเดียว เรียกว่าสุขภาพดีมากจริงๆ ในเรื่องการขับถ่าย”

ส่วนผสม

1. เกลือแกง 3 ส่วน

2. มะขามเปียก เอาเม็ด และเส้นใยออกแล้ว 5 ส่วน

3. บอระเพ็ดสด หั่นเป็นชิ้นเล็ก 7 ส่วน


วิธีปรุง

1. นำมะขามที่แกะเส้นใย และเมล็ดออกแล้วมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ

2. นำตัวยาทั้ง 3 ชนิดลงครก โขลกให้ละเอียดผสมรวมกัน หากต้องการรสหวานให้เติมน้ำผึ้งลงไปด้วย

3. นำมาใส่ประปุกเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้รับประทาน


วิธีรับประทาน

รับประทานครั้งละ 1/2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน

สรรพคุณยา

บอระเพ็ด เป็นสุดยอดพืชสมุนไพร ช่วยลดความร้อนในร่างกาย แก้ไข้ บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ว่ามีสารออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่ง insulin ส่งเสริมให้เกิดการสะสมของแคลเซียมภายในเซลล์


มะขามเปียก นับเป็นยาระบายที่ดีมาก ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ขับเสมหะก็ได้ ทำให้ชุ่มคอชื่นใจ มีวิตามินซีสูง

เกลือ เป็นธาตุวัตถุ ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย เป็นสารที่ร่างกายใช้สร้างกรดเกลือที่เป็นน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร การที่ร่างกายได้รับเกลือเพียงพอกับความต้องการ ไมมากเกินไปช่วยให้ร่างกายร่าเริง แจ่มใส อารมณ์ดีไม่ตื่นเต้นตกใจง่าย

29 สิงหาคม 2552

6 นิสัย ทำลายตัวเอง

6 นิสัย ทำลายตัวเอง

ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดีคุณจะนึกถึงคนที่มีบุคลิกภาพอย่างไร?

บางคนนึกถึงคนที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา หรือคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน หรือคนที่ไม่เคยมีความทุกข์เลยใช่ไหมครับ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรนั่นก็อาจถูกต้องในบางส่วน

ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดี องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายไว้ว่า สุขภาพจิตที่ดี คือ ความสามารถที่จะปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดี มีสัมพันธภาพอันดีงามกับบุคคลอื่น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย รวมทั้งสนองความต้องการของตนเองในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งภายในจิตใจ

ไม่ว่าใครย่อมต้องอยากมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ แต่คุณ ๆ ทราบหรือไม่ครับว่า คนที่ซึมเศร้า ไม่สบายใจนอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว บางครั้งก็อาจจะมาจากนิสัยส่วนตัวของคุณเองก็ได้นะครับ

วันนี้เราลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่า ว่าคุณเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของคุณเอง เพราะมี 6 นิสัยต่อไปนี้หรือไม่
“ขี้ระแวง,สุขภาพจิตไม่ดี,ถูกหักหลัง”


  1. นิสัยขี้ระแวง คนที่มีนิสัยขี้ระแวงนั้นเป็นคนที่ไม่เคยไว้วางใจผู้ใดเลย ใครจะทำอะไรจะคิดอะไรก็นึกคิดไปว่าเขามีความประสงค์ร้ายกับตน คิดว่าใคร ๆ ไม่รัก ไม่ให้ความสำคัญ ไม่นับถือ ระแวงว่าจะถูกทรยศ หักหลัง คนขี้ระแวงไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สวมบทบาทใด ๆ ในชีวิตก็จะทำให้บทบาทนั้นเป็นบทบาทที่มีปัญหาและคนที่ได้รับควาทุกข์นั้นก็คือตนเองและผู้ใกล้ชิด ถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณก็จะระแวงว่างานที่มอบหมายให้ลูกน้อง อาจจะทำไม่สำเร็จ ระแวงว่าสามีจะมีเมียน้อย ภรรยาจะมีชู้ ฯลฯ นิสัยระแวดระวังนั้นเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเป็นหวาดระแวงไปซะทุกเรื่องอย่างนี้คงแย่มากกว่า

  2. คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง นิสัยไม่มั่นคงในตนเองมักจะสร้างความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้จักตัวเองว่าตนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ชอบอะไร แบบไหน ควรวางตัวแบบไหนในสังคม ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันจนถึงเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิต นิสัยขาดความเชื่อมั่นในตนเองใช่ว่าเจ้าของนิสัยจะชอบแต่ไม่อาจลบล้างความรู้สึกด้อยในใจตนเองได้ ทั้งที่ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยแต่อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้

  3. นิสัยกล่าวโทษผู้อื่นอย่างไม่รู้จบสิ้น ในความผิดพลาดล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดไปแล้วถ้าคุณเป็นคนที่คอยแต่เพ่งโทษผู้อื่น เห็นว่าความผิดของคนอื่นนั้นยิ่งใหญ่เท่าภูเขา เป็นความผิดร้ายแรงไม่มีวันที่จะให้อภัยได้ มองเห็นแต่ความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ผู้คนรอบข้างของคุณทำ โดยไม่ได้มองด้วยใจที่เป็นกลางและเป็นธรรม มองอย่างที่ควรจะเป็นในสภาวการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองด้วยเหตุผล ฯลฯ ถ้าคุณมีนิสัยเช่นนี้ย่อมจะทำให้คุณทุกข์ทนและไม่มีความสุขแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะเป็นผู้ที่ไม่ถูกต้องดีงามสำหรับคุณทุกคนแน่

  4. นิสัยหลีกหนีปัญหา หลีกหนีเหตุการณ์ หาทางออกให้กับตนเองอย่างผิด ๆ เช่น การดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด การเล่นการพนัน โดยคิดว่าการใช้สุรายาเสพติดจะเป็นการแก้ปัญหาแต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นไปอีก กับบางคนอาจเป็นลักษณะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น พาลทะเลาะปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขมิหนำซ้ำกลับทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก

  5. นิสัยมองโลกในแง่ร้าย คนเช่นนี้จะเป็นคนที่มีชีวิตแต่ละวันด้วยความหดหู่เศร้าหมองด้วยเห็นว่าผู้คนรอบตัวนั้นต่างเป็นศัตรูของตนเอง เป็นผู้ที่คอยทำลายตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนต่างก็เลวร้ายทั้งนั้น เป็นคนที่คิดหรือมองคนในแง่ลบ

  6. คนที่มีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ชิงชัง ริษยา จิตใจเช่นนี้หาความสงบไม่ได้แน่ด้วยร้อนรนอยู่ด้วยความทุกข์ที่เกิดจากความคิดร้าย ๆ ของตนเอง ด้วยจิตอาฆาตแค้นที่ไม่ยอมอภัยและคอยคิดทำร้าย ความร้อนของไฟริษยาที่คิดว่าคนอื่น ๆ ล้วนดีกว่าตนทั้งนั้น ตนนั้นต่ำต้อยนัก มีทางใดที่จะเอาชนะหรือทำให้คนที่ตนเห็นเป็นศัตรูเดือดร้อน เจ็บปวดได้ก็จะทำ ถ้าคุณมีนิสัยอย่างนี้ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อนไม่หยุดหย่อน

สำรวจพบเหตุแห่งทุกข์กันบ้างไหมครับ ถ้ามีนิสัยเหล่านี้อยู่ก็ควรจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยการ ปรับปรุงกาย ปรับปรุงใจเสียใหม่ มองโลกในแง่ดี มองคนรอบข้างอย่างเข้าใจว่าคนทุกคนล้วนแตกต่างกัน ผู้คนในโลกนี้ต่างมีนิสัยที่ดีและไม่ดีกันทุกคน มองในส่วนที่ดีของเขาหรือถ้าเป็นไปได้ยอมรับในส่วนที่ไม่ดีของเขา ปรับตัวในทางที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ความสำเร็จในการปรับตัวที่ดีย่อมจะทำให้คุณได้รับรางวัลแห่งชีวิต นั่นคือการเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีและชีวีเป็นสุข

ข้อมูล...กรมสุขภาพจิต

28 สิงหาคม 2552

เรื่องเล่าจากผู้ป่วย-ประสบการณ์ใช้เอนไซม์หยอดตา

ประสบการณ์จากผู้ใช้ยาหยอดล้างตาพลังเอนไซม์ ชมรมบ้านสุขภาพ

ดิฉัน เป็นคนใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำในการทำงานค่ะ บางครั้งมีอาการเมื่อยตา ตาแห้ง พอตกกลางคืนก็เคืองตา จนต้องขยี้ตาบ่อย ๆ มีเพื่อนแนะนำให้ใช้เอนไซม์หยอดล้างตาของดร.รสสุคนธ์ โดยเขาซื้อมาให้
1 ขวดค่ะ ขนาดเพียง 10 มิลลิลิตร แต่ก็ใช้ได้นานเป็นเดือน ครั้งแรกที่ใช้รู้สึกกลัว ๆ นิด ๆ  เพราะลองดมกลิ่นแล้วมันกลิ่นแปลก ๆ ค่ะ

พอหยอดตาไปครั้งแรก รู้สึกว่าแสบตามาก ๆ จนน้ำตาไหล เพื่อนก็บอกว่า หยอดแล้วหลับตา สักพัก แล้วกรอกลูกตาไปทางซ้ายและขวา แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดิฉันก็ทำตามที่เพื่อนบอก ความรู้สึกหลังลืมตา รู้สึกว่าตาใส กระจ่างขึ้น (ได้อ่านเอกสารของดร.รสสุคนธ์ มีวิธีการใช้เอนไซม์หยอดล้างตา แล้วมีคาถาด้วยค่ะ คือ หยอดตาไปแล้วให้หลับตา ทำสมาธิ ท่อง นะโม 3 จบ แล้วอธิษฐาน แล้วค่อยลืมตา จะได้ผลมาก หากเราอธิษฐานจิตของอำนาจของพระพุทธคุณ... อันนี้แล้วแต่ความเชื่อนะค่ะ)

ก่อนใช้เอนไซม์หยอดตา มีอาการเคืองตา ตาแห้ง ฟาง มัว ๆ มองไม่ค่อยชัด แต่คงเป็นเพราะใช้สายตานานจนล้าค่ะ คืนนั้นก็เลยใช้เอนไซม์หยอดล้างตาไปอีกครั้งที่สอง ก่อนเข้านอน ยังรู้สึกแสบอยู่บ้าง แต่คืนนั้นกลับหลับสบายค่ะ ไม่ต้องตื่นกลางดึกมาเพราะเคืองตาอีกแล้วค่ะ แต่พอเช้านั้นตื่นขึ้นมา มีขี้ตาก้อนใหญ่เลยค่ะ ตกใจมาก โทรไปหาเพื่อน เพื่อนบอกว่าเขาก็เป็นเหมือนกัน แต่พอหยอดไปทุกวันก็ขี้ตาก็หายไป

ซึ่งเพื่อนก็ให้เบอร์โทรไปถามคุณตู๋เรื่องนี้ ก็ได้คำตอบว่า เอนไซม์หยอดล้างตาจะเข้าไปทำความสะอาดและขับเอาสิ่งสกปรก หรือเศษเซลล์ออกมาเป็นขี้ตา ซึ่งถ้าขับออกมามากแสดงว่าเรามีของเสียมาก ควรรับประทานน้ำผักปั่น และดื่มน้ำเพื่อขับของเสียออกมาให้มากขึ้น ควรดื่มน้ำมาก ๆ หรือดื่มทุกชั่วโมง ชั่วโมงละ 1 แล้ว เพื่อล้างของเสียออกจากร่างกาย 

จากนั้นดิฉันก็ใช้เอนไซม์หยอดล้างตามาตลอด พร้อมดื่มน้ำเยอะขึ้น รู้สึกสดชื่นขึ้น ไม่มีอาการตาแห้งอีกแล้วค่ะ เลยแนะนำให้เพื่อนที่ออฟฟิคใช้กันด้วย

และเอนไซม์หยอดล้างตา ดิฉันยังมีวิธีใช้อีกอย่างคือ ใช้ทาแผลยุงกันค่ะ 
เวลายุงกัด ดิฉันก็เอามาทาบริเวณที่ยุงกัน ซึ่งปกติฉันดิฉันมักแพ้ยุง จะบวมและคันมาก แต่เมื่อเอาเอนไซม์หยอดตามาทา อาการบวมและคันก็ลดน้อยลงค่ะ และรู้สึกว่ารอยยุงกัดหายเร็วขึ้นด้วยค่ะ

ขอบคุณเรื่องเล่าดี ๆ จากเพื่อนสมาชิกค่ะ

26 สิงหาคม 2552

เรื่องเล่าจากผู้ป่วย- เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายและเรื้อรัง

เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายและเรื้อรัง

โดยนางศิราณี  เอกัคคตาจิต จังหวัด บุรีรัมย์

   ครอบครัวเรามีลูก 4 คน  ผู้ชายล้วน  พ่อบ้านชื่อ น.พ. ศิริพงษ์  เอกัคคตาจิต  รับราชการทำงานโรงพยาบาลบุรีรัมย์  จบแพทย์จุฬาฯ รุ่น 24  ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ ซี 9  ข้าพเจ้าเป็นแม่บ้าน เต็มขั้น

และความไม่เที่ยงก็เกิดขึ้นเช้าวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2540  ตื่นเช้ามาดูลูกคนที่ 3 ชื่อ ศักดา  เอกัคคตาจิต  เขาบอกยืนได้ขาข้างเดียว  เจ็บข้อเท้าและเข่ามาก  เราก็ไม่คิดว่าเป็นอะไรมาก  เป็นจังหวะใกล้จะเปิดเทอมแรกของการเข้ามหาวิทยาลัย  เขาเรียนแพทย์ศิริราช  โดยสอบเข้าโควต้าแพทย์ศิริราช  และสอบแข่งขันวิชาเคมีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2538

ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลศิริราช 2 อาทิตย์  หมอให้ยาแก้ปวด  แล้วดูอาการ  ให้ใช้ไม้เท้าไปเรียนได้ 2 อาทิตย์  ปรากฏว่าอาการกำเริบ  อาการเจ็บขยายมาที่หัวไหล่ทั้ง 2 ข้าง  ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้หมอตรวจอาการแล้วถามข้าพเจ้าว่ามีลูกกี่คน  ตอบว่ามี 4 คน  คนโตทำงานแล้ว  คนที่ 2 เรียนแพทย์ขอนแก่น  คนป่วยเป็นคนที่ 3  รู้สึกหมอที่ถามมีสีหน้าดีขึ้นเพราะเขารู้แล้วว่าโรคที่ลูกเป็นนี้เข้าข่ายปวดข้อ โรครูมาตอย  เพราะเจ็บข้อก่อนอายุ 17 ปี  ซึ่งค่อนข้างร้ายแรง  เพราะแม้แต่สถิติการรักษาต่างประเทศก็ยาก  มีให้ได้ก็ยาแก้ปวดเท่านั้น  เป็นมากหลายปีหน่อยก็จะพิการได้

หมอที่รักษาเขาก็บอกให้แม่ทำใจและให้ยาแก้ปวดมากินที่บ้าน ความรู้สึกของแม่แทบล่มสลาย  วันแล้ววันเล่าไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น  จุกปวดกระเพาะอาหารขนาดหนักเพราะกินยาแก้ปวด  กินยาเคลือบกระเพาะอาหารเต็มที่ก็ยังเจ็บท้องอยู่  นรกบนดินเป็นเช่นนี้เอง  กินยาแก้ปวดข้ออย่างแรงเช้าเย็น  แก้ได้ชั่วคราวต้องกินประจำ  แม้ปวดกระเพาะอาหารก็ต้องกิน  เจาะเลือดทำอีเอสอาร์อยู่ระหว่าง 50-90 มม./ชม.  ซึ่งค่าปกติไม่เกิน 20 มม./ชม. กินยามากจนหูอื้อ  แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น

ช่วงนี้เขาก็ไปอยู่วัดกับหลวงพ่อ 5-6 เดือน  ทำเรื่องลาเรียน 1 ปี  ระยะนี้ขาเริ่มลีบเพราะเจ็บ   ข้อเท้ามากต้องนอนกับที่  เราเป็นชาวพุทธ  ช่วงไหนที่จิตมีสมาธิก็อธิษฐานขอให้ลูกได้พบหนทางรักษาที่ถูกต้องด้วยเถิด  จะได้หยุดยาแก้ปวดนี้เสียที  ชีวิตที่เหลืออยู่นี้จะขวนขวายทำแต่ความดี

แล้วโชคก็มาถึง  วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541  ดร. พรพรรณ และคุณแฉซึ่งเป็นญาติกับอาจารย์นิศา เชนะกุล  ได้มาที่บ้านเพื่อไปกราบหลวงปู่ที่วัดเขาน้อย  เขามาเห็นลูกชายป่วย  เขาก็แนะนำให้ทานนมธัญพืช  และน้ำผักปั่น  โดยทานนมธัญพืชก่อนอาหารวันละ 1 แก้ว  และน้ำผักปั่นวันละ 4-5 แก้ว  ทานได้ 20 วัน  หมอก็ให้เจาะอีเอสอาร์ดู  ปรากฏว่าอีเอสอาร์ลดเหลือ 36 มม./ชม.  ลูกชายก็ร้องออกมาว่าเขาคงรอดตายและหายได้

จากการทานอาหารนี้ก็เริ่มมีกำลังใจ  รับประทานนมธัญพืชและน้ำผักปั่นมากขึ้น  กินนมธัญพืชและน้ำผักปั่นนอย่างละ 6-7 แก้วทุกวัน  และแช่น้ำร้อนสลับน้ำเย็นอย่างละ 3 นาที  และเริ่มไปอยู่วัดอีกเพื่อจะได้อยู่กับธรรมชาติ  นอนหัวค่ำ (3 ทุ่ม)  และรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด  พอทานได้ 1 เดือน ก็หยุดยาทุกชนิด  อีเอสอาร์ก็ลดลงเรื่อย ๆ เหลือ 20 มม./ชม.  ต่อมาก็เหลือ 12 ก็เท่ากับคนปกติ

เจาะอีกครั้งหนึ่งก่อนไปเรียนวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2541  ค่าอีเอสอาร์เท่ากับ 1 มม. ต่อ ชม.  เม็ดเลือดแดง จาก 33% เป็น 48%  เม็ดเลือดขาว จาก 13,500 ก็เหลือ 6,500  พอเรียนไปได้ 5-6 เดือน  เขาก็สามารถบริจาคเลือดให้กับโรงพยาบาลศิริราชได้  ญาติพี่น้องใกล้ชิดแม้นเพื่อนหมอด้วยกันก็รู้สึก เหมือนปาฏิหารย์  ใครจะคาดคิดว่าจะหายจากโรคด้วยอาหารดังกล่าวนี้


ข้าพเจ้าจึงต้องการเผยแพร่ให้ผู้ที่มีอาการปวดข้อเรื้อรังลองมาดื่มน้ำผักปั่นและนมธัญพืชอย่างละ 8-12 แก้วต่อวัน  เพื่อไม่ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อยาแก้ปวดข้อและยาป้องกันโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล  ซึ่งต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ  ทำให้เสียดุลการค้าระหว่างประเทศ  และให้นอนแต่หัวค่ำ 3 ทุ่ม ทำจิตใจให้เบิกบาน  นั่งสมาธิ  ถ่ายอุจจาระทุกวันโดยกินอาหารที่มีกากใย  ซึ่งเป็นอาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านขบวนการปรุงแต่ง  ได้แก่  เมล็ดธัญพืช  ผักสด  ผลไม้สด  ไข่ขาว  ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก  กินแต่เนื้อปลา  โดยนึ่งหรือต้ม  ไม่ควรทอด  เพราะจะมีไขมันมาก  ไม่กินอาหารกระป๋อง  เพราะต้องผ่านขบวนการปรุงแต่ง  ทำให้เสียคุณค่าอาหาร  ไม่นอนอยู่ใกล้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  โดยอย่าให้มีเครื่องทีวี  วิทยุ  เครื่องคอมพิวเตอร์  และตู้เย็นในห้องนอน  ออกกำลังกาย  ทำกายภาพบำบัด  เพื่อไม่ไห้กล้ามเนื้อลีบ  ก็อาจหายจากโรคปวดข้อเรื้อรังและไม่มีความพิการของแขนขาข้างที่ปวดข้อได้โดยปกติ

25 สิงหาคม 2552

ฮอร์โมนแต่ละตัวมีความสำคัญอย่างไร


ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หมุนรอบโลก โลกหมุนรอบตัวเอง ฉะนั้นประเด็นสำคัญของการรักษาชีวิตไว้ จึงนับเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเพราะสิ่งสำคัญนั่นก็คือ เรื่องของ เวลา เพราะพลังของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ล้วนมีอิทธิ พลต่อสภาวะการแปรปรวนของฮอร์โมน

การหลับนอนมีส่วนที่สัมพันธ์อย่างยิ่งนั่นคือ ควรจะนอนให้เพียงพอ 6 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เพราะจะเกี่ยวข้องกับ ฮอร์โมน อะดรีนาลิน, เมลาโทนิน, คอร์ติโซน เอนโดฟิน 

จากความจริงว่า “ กระแสโลหิตผ่านระบบสูบฉีดของหัวใจ 2,000 ลิตร ในเวลา 24 ช.ม. และไหลเวียน อยู่ในเส้นโลหิต ในระยะทางยาว 60,000 ไมล์ และลำเลียงอาหาร รวมถึงขับของเสียออกจากเซลล์ทั่วร่างกายจำนวน 100,000,000,000,0000 เซลล์ ” Encycopedia Botanica 1767


1. อะดรีนาลิน

อะดีนาลิน หรือฮอร์โมนเอพิเนฟริน เป็นฮอร์โมนเพศชายที่สร้างจากต่อมหมวกไต ในเพศหญิงพบน้อยมาก

ฮอร์โมนอะดีนาลิน
เมื่อหลั่งออกมาแล้วมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูง เส้นเลือดอาร์เตอรีขนาดเล็กที่บริเวณอวัยวะต่าง ๆ ขยายตัว ส่วนเส้นเลือดอาร์เตอรีขนาดเล็กที่บริเวณผิวหนังและช่องท้องหดตัว

ฮอร์โมนอะดรีนาลิน
คือ ฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการตื่นตัวจากการที่มีแสงมากระทบ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น การสั่งของจิตที่มีการเร่งมาจากตัวยั่วยุ

2. เมลาโทนิน

เมลาโทนิน (5-methoxy-N-acetyltryptamine) เป็นฮอร์โมนที่พบในสิ่งมีชีวิตทุกๆชนิด ถูกสร้างขึ้นในร่างกายเฉพาะตอนกลางคืน(เมื่อไม่มีแสงกระทบดวงตา หรือตอนนอนหลับสนิทในที่มืด) และถูกกระตุ้นจากความมืด นอกจากนี้ยังถูกยับยั้งการสร้างโดยแสง(เมื่อแสงกระทบดวงตา หากนอนในที่มีแสงสว่างร่างกายจะไม่สร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน)
3938
เมลาโทนิน ถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ที่ชื่อว่า Pinealocytes (Pineal chief cells = Pi) ซึ่งอยู่ในต่อมไพเนียล(ต่อมไพเนียลอยู่บริเวณกลางสมองมีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว) นอกจากนี้มันยังถูกสร้างที่เรตินา(Retina) และอวัยวะทางเดินอาหาร(Gastrointestinal tract=GI tract) อีกด้วย 


ประโยชน์ของ ฮอร์โมนเมลาโทนิน คือ ฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายจัดระบบการพัก การฟื้นฟู ขับของเสียทิ้ง ซึ่งจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ตามอิทธิพลของแสงของด้วยอาทิตย์ ตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงช่วงบ่าย และเมื่อถึงเวลา 24.00 น. เป้นเวลาที่มีปริมาณสูงที่สุด ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนึ้นร่างกายจะขับเคลื่อนให้ของเสีย และของดี จัดสรรให้เกิดชีวิตที่สดใสจนถึง เวลา 03.00 น.

3. คอร์ติโซน

ฮอร์โมนคอร์ติโซน คือ ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาตามความต้องการของร่างกายในการจะทำในสิ่งต่าง ๆ
มีหน้าที่ต่าง ๆ ดังนี้
1. เพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือด กลูโคคอร์ติคอยด์ได้ชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งการอดอาหาร (hormone of starvation) เพราะว่าจะกระตุ้นเซลล์ตับให้เปลี่ยนกรดไขมันและกรดอะมิโนบางตัวเป็นกลูโคส และเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจน (gluconeogenesis) เรียกว่า กลูโคส สแปริ่ง เอฟเฟ็ก (glucose – sparing effect) ซึ่งเป็นขบวนการที่สำคัญ เพราะจะมีผลในการเผื่อน้ำตาลกลูโคสไว้ให้สมองใช้งานได้ตลอดเวลา

     2. กดระบบภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive effect) ยับยั้งกลไกการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยลดการสลัดอวัยวะที่ปลูกถ่าย (organ rejection) แต่กลูโคคอร์ติคอยด์จะไม่มีผลต่อภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากภายนอก เช่นการได้รับวัคซีนที่เป็นอิมมูนต่างๆ (immune)

     3. ต่อต้านการอักเสบ (anti inflammatory effect) โดยการลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาว ไปยังบริเวณที่อักเสบ ลดการเกิดหนอง (exudation) และลดการแพ้สารต่างๆ โดยยับยั้งการหลั่งฮีสตามีน

4. เอนโดรฟิน

ฮอร์โมนเอนโดรฟิน คือ ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาตามความต้องการของร่างกายในการจะทำในสิ่งต่าง ๆ และสดชื่น และทำให้ตื่นตัวมากที่สุด ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีระดับของฮอร์โมนเมลาโทนิน และอะดรีนาลิน มีปริมาณสัดส่วนที่เท่ากัน

เอ็นโดรฟิน เป็นสารประกอบชีวะเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ เป็นโปรตีนโพลีเปปไทด์ผลิตจากต่อมพิทูอิทารี่ และจากไฮโพทาลามัสในกระดูกสันหลัง การทำงานของมันคล้ายฝิ่น เพราะมันจะทำให้เกิดอาการชา เราอาจจะเรียกเอ็นโดรฟินนี้ว่าเป็นยาแก้ปวดจากธรรมชาติก็ได้
 
อารมณ์ต่าง ๆ จะเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนพลังงานใน่ร่างกายอย่างมีนัยสำคัญ คือ อารมณ์ แต่ละตัวจะเกิดการหลั่งของฮอร์โมน ทั้ง 4 ตัวอย่างสมดุลกับ ดังนี้

ดีใจเอนโดรฟิน
เสียใจอะดรีนารีน + คอร์ติโซน
โกรธอะดรีนารีน + คอร์ติโซน
เกลียดอะดรีนารีน + คอร์ติโซน
ชอบเอนโดรฟิน + เมลาโทนิน
อาฆาตอะดรีนารีน + คอร์ติโซน
เพ่งโทษ(มองโลกในแง่ร้าย)อะดรีนารีน + คอร์ติโซน

สมาธิ อะดรีนารีน และ เอนโดรฟิน สงบนิ่ง สัมผัสสภาวะได้เร็ว ประหยัดพลังงานภายในร่างกาย เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทนต่อแรงกดดันต่าง ๆ เข้าใจสภาวะกระทบมีความพร้อมต่อการเผชิญหน้า

ดังนั้น การฟื้นฟูสุขภาพ และการรักษาสุขภาพให้อยู่ในสภาพที่ดี ส่วนประกอบที่สำคัญ ก็คือ การนอนหลับพักผ่อน และการควบคุมอารมณ์ เพราะจะเห็นได้ว่า การนอนหลับ และอารมณ์ ส่งผลกระทบต่อการหลั่ง ฮอร์โมน 4 ตัว สำคัญ ที่มีผลต่อกลไกปฏิกิริยาต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะการขับของเสียออกจากร่างกาย นั่นเอง
(ดาวน์โหลด นาฬิกาชีวิต)

24 สิงหาคม 2552

เรื่องเล่าจากผู้ป่วย-สู้เพื่อชีวิตใหม่


สู้เพื่อชีวิตใหม่
วิลัยภรณ์ กรดเกิด ผู้ป่วยโรคไต เขียนและสัมภาษณ์โดย ปุญโญ มีบรรจง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของ วิลัยภรณ์ กรดเกิด (น้ำฝน) ไม่เคยซักครั้งเดียวที่เธอจะคิดถึงเรื่องสุขภาพ เพราะเธอเองก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป ที่มองว่า เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องที่ไกลตัว เด็กวัยรุ่นอายุเพียงแค่ 22 ปี ที่มีร่างกายแข็งแรงย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ จนกระทั่งวันหนึ่งชีวิตเธอเริ่มเฉียดใกล้กับความตาย เธอจึงเข้าใจว่าชีวิตของตัวเองมีคุณค่าเพียงใด
อาชีพหลักที่บ้านของเธอเป็นร้านขายของชำ เพราะฉะนั้นงานในหน้าที่หลักในฐานะบุตรสาวคนโตของบ้านจากการเรียนหนังสือ เธอยังมีหน้าที่คอยเก็บเงินและทำความสะอาดร้านค้า ซึ่งการดำเนินชีวิตส่วนใหญ่จึงใช้ชีวิตอยู่กับการนั่งนับเงิน และระหว่างรอลูกค้าเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการใช้ความคิดและจินตนาการ
“หนูนั่งคิดอนาคตที่หวานแหวว คิดถึงอดีตที่ไม่น่าจะคิดถึง หนูฟุ้งซ่านมากตอนนั้น”เธอกล่าว
พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เช่นกันเธอกล่าวว่า...
“ถ้าพ่ออยู่ตอนเช้า หนูก็จะทานข้าวเช้า แต่ถ้าพ่อไม่อยู่ก็จะไม่มีข้าวทาน หนูก็จะทานแต่นม และขนมปัง บะหมี่สำเร็จรูป แล้วก็น้ำอัดลม”
เวลาไปเรียนหนังสือ ก็ไม่ค่อยได้ทานข้าวเช้า กลางวันก็เป็นการทานอาหารรสจัดแบบภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นแกงคั่ว แกงเผ็ด
เธอใช้ชีวิตแบบนี้จนกระทั่งกลายเป็นความเคยชิน ในที่สุดร่างกายก็เริ่มแสดงออกมา
“ปัสสาวะหนูเริ่มมีสีเหลืองขุ่น เวลามีประจำเดือน หนูก็จะลุกไม่ค่อยไหว และจะเจ็บที่หลังมาก เวลาปวดท้องก็เหมือนมีเข็มจิ้มอยู่ตลอดเวลาสลับกันทั้งซ้ายและขวา ซึ่งจะทรมานมาก”
แต่เธอก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากปัญหาอะไร ทำให้อาการที่เป็นอยู่เริ่มที่จะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเข้ามาศึกษาต่อในกรุงเทพฯ ฐานะทางบ้านก็เริ่มย่ำแย่ลง คุณพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวต้องเร่งตัวเองเพื่อหาเงินเข้ามาจุนเจือครอบครัวมากขึ้น ตัวเธอเองก็จำเป็นต้องช่วยคุณพ่อหารายได้เสริมระหว่างเรียนเพื่อช่วยพยุงฐานะของพ่อแม่ เธอทำงานตั้งแต่ 9 โมงจนถึง 3 ทุ่ม กว่าจะเก็บงานเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน กว่าจะได้กิน จะได้นอนพัก ก็ไม่เคยเป็นเวลา พอเงินเดือนออกก็ส่งเงินกลับมาช่วยพ่อแม่
การนอนดึกตลอดเวลาโดยที่ตัวเองไม่สนใจว่าร่างกายจะเป็นอย่างไร

“เรื่องกินเรื่องนอนในตอนนั้นหนูมองว่ามันไม่สำคัญ มองแต่ว่าจะทำงานหาเงินไปช่วยเหลือพ่อยังไง วันๆ เรียกได้ว่าไม่มีความสุขเลย เพราะไม่เคยมีเวลาเป็นของตัวเอง”
เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาในช่วงที่เข้ามาเรียนและทำงานในกรุงเทพฯอาการป่วยที่เคยเป็นก็ยังเหมือนเดิม และดูทีท่าจะมากขึ้น ปัสสาวะก็ยังมีสีเหลืองขุ่น รู้สึกอ่อนเพลียและปวดเมื่อย เวลาเดินก็จะเดินหลังค่อมทำให้เสียบุคลิก เวลาขึ้นบันไดจะไม่ค่อยมีแรง

ชีวิตเด็กหอที่อยู่ในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ไม่ต่างกันมากนัก ทุกคนรับรู้ได้ว่าชีวิตจะเริ่มต้นตอนกลางคืน กว่าจะเข้าเรียนก็บ่าย กว่าจะนอนก็ตีสองตีสาม กว่าจะตื่นก็เก้าถึงสิบโมงเช้า อาหารส่วนใหญ่ตอนเช้าจำเป็นต้องพึ่งพาบะหมี่สำเร็จรูป อาหารที่ทานหนักส่วนใหญ่จึงจะอยู่ในช่วงกลางคืนเพราะแม่ค้าเริ่มมาทยอยขายของ
เข้าปีที่สองเธอเลิกทำงาน และมุ่งแต่เรียนอย่างเดียว ซึ่งการไปเรียนก็เหมือนไม่ได้ไปเรียนเพราะสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย

“วันหนึ่งหนูใช้เวลาเรียนวันละประมาณ 3 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาก็ลงลิฟต์ และขึ้นรถตู้ พอถึงโรงเรียนก็เข้าห้องแอร์ เวลาเข้าเรียนก็นั่งแล้วก็มึนงงจำอะไรไม่ได้ หมดเรี่ยวแรงทุกวัน พอเรียนเสร็จก็จะไปหลบร้อนตามห้างสรรพสินค้า”
พอเริ่มเข้าสู่ปีที่สามอาการที่เธอเป็นอยู่เริ่มที่จะเป็นมากขึ้น

“หนูเริ่มไม่ค่อยจะมีแรง จะเป็นหวัดตลอด เริ่มที่จะหายใจไม่ออก ทุกคืนจะมีน้ำมูกไหลออกมาตลอดเวลา เมื่อได้กลิ่นอะไรก็จะจามตลอดเวลา มือก็ไม่มีแรง ซึ่งจะเพลียมาก ๆ เวลาเดินลงบันได เวลาเดินก็จะดูเฉื่อยๆ สภาพหนูในตอนนั้นเหมือนคนอายุซักแปดสิบ”
เธอเริ่มมองเห็นตัวเอง และเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนที่อยู่รอบตัว เพราะเหตุใด แต่ละคนถึงมีร่างกายแข็งแรง และไม่ป่วยเช่นเธอ
“ถ้าเทียบกับเพื่อนที่มีลักษณะแข็งแรงแล้วกลับมามองตัวเราที่มีบุคลิกภาพเฉื่อยชา ทำอะไรหน่อยก็หมดแรง เรารู้สึกทุกอย่างหนักไปหมด อารมณ์และสภาพจิตใจมันเคว้งคว้าง เว้งว้าง รวมไปถึงความเครียดและกดดัน ทั้งจากครอบครัวและสังคม”
จนกระทั่งวันที่ 13-14 เมษายน เธอได้มีโอกาสได้มาเรียนรู้กับชมรมบ้านสุขภาพ อบรมเรื่องราวเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพตัวเธอเอง เธอฟังบรรยายจากท่านดร.รสสุคนธ์ และรับรู้ได้ถึงแรงแห่งความปรารถนาดีและจริงใจที่อยากให้คนในสังคมเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองและช่วยเหลือตนเองได้เมื่อยามเจ็บป่วย

เมื่อกลับไปจากการอบรม อาการเธอเริ่มเป็นหนักขึ้น และคิดถึงเรื่องราวต่างๆ นา ๆ โดยเฉพาะการเข้าไปเรียนรู้วิธีการบำบัดตนเอ

“หนูเริ่มหายใจไม่ออก ทุกอย่างมันเริ่มแย่ไปหมด ไม่มีแรงที่จะลุกไปไหน นึกได้อย่างเดียวคือหน้า ดร.รสสุคนธ์ แล้วก็อธิฐานว่าถ้ารอดไปได้หนูจะรีบไปหาท่าน” และเธอก็ผ่านอาการในห้วงเวลานั้นไปได้
เธอเดินทางมาหาท่านดร. แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย พี่ๆ น้องๆ ที่ช่วยงานชมรมอยู่ก็มาแนะนำในเรื่องการดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องการทานน้ำธัญพืช การทานน้ำผักปั่น การทานเอนไซม์ ซึ่งเธอก็ได้เอนไซม์ไปหนึ่งขวด เมื่อทานหมดก็อาเจียนออกมา และมีกลิ่นเหม็นมาก
“อาการที่เกิดขึ้นตอนนั้นเหมือนจะเป็นลมและมึนหัวไปหมด มันเจ็บแปล๊บที่หัวใจด้านซ้ายแน่นหน้าอก น้ำเอนไซม์ที่ทานเข้าไปมันเหมือนไปดึงซากเน่าๆ ที่อยู่ในร่างกาย ออกมา ”
เธอทั้งอาเจียนและก็ปัสสาวะบ่อย อาทิตย์แรกที่เข้ามารับการเรียนรู้เรื่องสุขภาพ หน้าตาเธอดำคล้ำมาก เมื่อเธออาเจียนออก หน้าตากลับสดใสขึ้น
“บางคนจะไม่ชอบอาการอาเจียน แต่หนูชอบ เพราะมันทำให้เราโล่งขึ้นและก็สดใสขึ้น”
อาการดังกล่าวค่อย ๆ มีมากขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งก็จะมีน้ำเมือกเหนียวๆ เป็นเส้นยาวๆ ที่ดวงตาและก็คันมาก บางครั้งตาก็ลืมไม่ขึ้น
อาการต่างๆ ยังคงมีมาไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งเธอต้องขาดการไปลงทะเบียนเรียน เพราะหากกลับไปตอนนั้นเธอมั่นใจว่าเธอต้องตายแน่นอน “ตอนนั้นหนูมีลมหายใจที่ร้อนมาก หัวหมุนตลอด”
พอรุ่งเช้าอาการดังกล่าวก็เริ่มเป็นมากขึ้น เริ่มหมุนหัวอย่างหนัก เจ็บหน้าอกข้างซ้าย พอทานน้ำหมดไป 1 ลิตร ก็พอทุเลา อยากจะอาเจียนก็ไม่มีอะไรจะออก หัวก็เริ่มเจ็บแปล๊บ ๆ เหมือนไฟฟ้าช็อตหัว
สาย ๆ เธอก็เริ่มทรมานและปั่นป่วยอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ศรีษะ หัวใจด้านซ้าย

“หนูอาเจียนทั้งยืน ออกหมดทั้งทางปากและจมูก ปัสสาวะก็ราดตอนนั้น และอยากจะไปถ่าย”
อาการดังกล่าวเกิดขึ้นเพียง 2-3 ชั่วโมง ประสาทสัมผัสการรับรู้เริ่มเลือนราง ร่างกายเริ่มไม่ทำงานตามคำสั่ง “หนูไม่รู้ว่ามือคือมือ มันล่องลอย เหมือนผีดิบ ทรมานมาก หมามันก็หอนกันให้เกลียวไปหมด เหมือนมันรับรู้ว่าจะมีคนตายเกิดขึ้น” สิ่งที่เธอนึกได้อย่างเดียวคือเดินไปหาดร.เพื่อขอความช่วยเหลือ
สภาพอากาศที่แปรปรวน ฝนที่ตกอย่างหนักเธอต้องลากสภาพร่างกายตัวเองขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อไปหาดร. “ดร.ช่วยหนูด้วย หนูพูดได้เพียงแค่นั้นหนูกก็ฟุบลงไป”

ดร.ลากแขนแล้วก็กระตุ้นให้หนูรู้สึกตัวแล้วบอกว่า “ไม่มีใครช่วยหนูได้นะ หนูต้องมีสมาธิ หนูต้องอยู่ในฌานนะลูก” แล้วท่านก็ปูเสื่อให้นอน ตอนนั้นเธอรู้สึกถึงอาการบวมที่มีน้ำปริๆ ออกมาจากผิวหนังและฝ่ามือ และก็ย้ายมานอนที่ห้องพระเมื่ออาการเริ่มดีขึ้น และเธอก็นอนหลับไปจนถึงรุ่งเช้า


เมื่อตื่นขึ้นมาทำให้เธอทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา

“หนูลุกขึ้นไหว้พระ น้ำตาก็เริ่มไหลและก็คิดว่า ในขณะที่เราปฏิบัติธรรมเพราะต้องการสร้างความกตัญญูให้กับพ่อแม่ แต่เราไม่เคยมีความกตัญญูให้กับตัวเองเลย เราจะไปกตัญญูกับพ่อแม่ได้อย่างไร ?”
หลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้น เธอเริ่มที่จะหนักแน่นขึ้นมีวินัยกับตัวเองมากขึ้น อาหารอะไรที่ห้ามก็หยุดกิน อะไรที่มีประโยชน์กับตนเองก็รีบดำเนินการทันทีโดยไม่อิดออด ส่วนงานก็ช่วยทางชมรมบ้านสุขภาพโดยตลอด ซึ่งท่านดร.บอกว่า หากิจกรรมอะไรให้ทำโดยที่ไม่ทำตัวเธอเองฟุ้งซ่าน ปัดกวาด เช็ดถู ล้างห้องน้ำ และเลี้ยงม้า เมื่อเริ่มเจ็บหัวใจก็จะทานน้ำให้มากขึ้น เมื่อผิวคล้ำก็งดอาหารพวกแป้งแล้วหันมาทานสลัดผักให้มากขึ้น เมื่อเครียดก็ควบคุมลมหายใจและปรับสภาพอารมณ์ตนเองให้แจ่มใสขึ้น
ปัจจุบัน วิลัยภรณ์ (ฝน) จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยแล้วและได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและคนที่รักและรักษาสุขภาพตนเองจนใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป

วิลัยภรณ์ ฝากข้อคิดกับหลายคนไว้ว่า

ร่างกายเปรียบเสมือนตัวแทนที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานที่พ่อแม่ให้มา แต่ทุกวันนี้พวกเราใช้เขาอย่างทรมาน เราไม่เคยดูแลเขา เราไม่เคยกตัญญูกับเขา ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราเป็นผู้ทำขึ้นทั้งสิ้น และเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้จักกตัญญูกับร่างกาย เขาก็จะพร้อมที่ให้มีพลังชีวิตที่เข้มแข็ง มีแรงที่จะสู้ต่อไปข้างหน้าได้ตามเป้าหมาย

21 สิงหาคม 2552

เคล็ดลับวิชา-การปั่นน้ำผักผลไม้พลังเอนไซม์

การปั่นน้ำผักผลไม้พลังเอนไซม์ ของชมรมบ้านสุขภาพ

ประสบการณ์แรกของการดื่มน้ำปั่นผักผลไม้พลังเอนไซม์ ที่ชมรมบ้าน(รักษ์)สุขภาพ กรุงเทพ คือ น้ำอะไรเขียวอี้ กลิ่นก็หอมผลไม้พวกเปรี้ยว ๆ กลิ่นออกเปรี้ยว ๆ นะ ชิมนิดเดียวดีกว่า...ไม่ให้เสียน้ำใจ (คิดแบบนี้ในใจ) หลังจากดื่มไปอึกแรก อืมก็อร่อยดีนะ ออกเปรี้ยว ๆ มีกากนิดหน่อยดื่มง่าย ไม่ติดคอแหะ... อร่อยดี ชอบ (ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไม่ทานผัก โดยเฉพาะหัวหอม...) ซึ่งพี่ที่นั้นบอกว่ามีหัวหอมด้วย ..

หลังจากที่ดื่มจนหมดแก้ว เหลือบมองหน้าพี่เขา แบบว่าอยากกินอีก อร่อยดี ... รีบถามไปว่า ทำยังไง มีอะไรบ้าง สนใจอยากทำเองที่บ้าน พี่เขาก็ใจดีมาก ๆ พาไปในครัว เอาส่วนประกอบให้ดู แถมยังให้หัดทำอีก   ดูคราว ๆ แล้วก็ไม่เห็นอยากเลย ไม่ต้องชั่งตวง กะเอาตามสูตร สูตรก็มีทั้งในเนต (สูตรน้ำผักผลไม้ปั่น) ทั้งเอกสารที่แจกให้ แบบนี้เราเอากลับไปทำเองที่บ้านสบายเลย... แต่ส่วนผสมที่สำคัญที่ต้องซื้อกลับไป คือ น้ำพลังเอนไซม์ ก็ไม่รอช้ารีบซื้อกลับไป เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า ไม่แพงด้วยแค่ 350 บาทต่อขวดเอง

หลังจากกลับมาบ้าน ก็ไปแวะตลาด ซื้อผัก ผลไม้ตามสูตรมาทันที หมดไปเกือบ 400 บาท เอามาถึงก็ล้างน้ำ แล้วแช่ด้วย เอนไซม์แช่ผัก ช่วยขจัดสารพิษ ขจัดไข่แมลงที่ตกค้างหน่อย แหมจะดูแลสุขภาพ
แต่ละทีก็ต้องใส่ใจทุกรายละเอียด (อิอิ...)

เครื่องปั่นที่บ้าน เป็นเครื่องสีขาว ใบพัดพลาสติก เก่า ๆ หน่อยที่ใช้งานมานานแล้ว เครื่องดื่มโถแรก เมื่อทำ พบว่า

  1. กากติดคอ กากชิ้นใหญ่มาก
  2. ข้นจัง กินยาก รสชาติแปลก ๆ ไม่อร่อยเท่าที่เคยกิน
ทำครั้งที่สอง กากผักบางชนิดก็เป็นชิ้นใหญ่ ต้องเคี้ยว ไม่สามารถดื่มได้เหมือนกับที่กินที่ชมรมบ้าน(รักษ์)สุขภาพ เอ๋ มันเพราะอะไรล่ะ..... ทำยากแหะ ลำบาก (ไม่อยากทำแล้วอ่ะ ขี้เกียจ)

ตอนแรกกะจะทำให้คุณพ่อ คุณแม่ คุณยาย ที่บ้านทานเพื่อสุขภาพ ก็เริ่มท้อ ไม่ได้ซิ เรื่องสุขภาพ ไม่เริ่มต้นวันนี้ จะเริ่มต้นวันที่เราหรือคนที่เรารักป่วยหรือไง .... คำกล่าวของ ดร.รสสุคนธ์ ดังขึ้นมาเตือนสติ ที่เริ่มฟุ่งซ่าน.... ดังนั้น จึงรีบจับโทรศัพท์โทรไปหาพี่ ๆ ที่ชมรมทันที (พี่ตู๋ค่ะ....หนูมีปัญหาอย่างนี้ ทำไงดีค่ะ.... ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ...)


เคล็ดลับวิชา การปั่นน้ำผัก ผลไม้ พลังเอนไซม์ ชมรมบ้านสุขภาพ สูตรดร.รสสุคนธ์
  1. การเลือกเครื่องปั่น ที่มีใบพัดที่ค่อนข้างคม หรือเป็นสแตนเลส จะดีกว่าแบบพลาสติก (ถ้าพอมีเงิน ซื้อเถอะค่ะ ราคาประมาณ 3000 - 5000 บาท แล้วแต่ยี่ห้อ)
  2. ลำดับของการปั่นผัก ผลไม้ ต้องเริ่มต้นที่ ผักจำพวกใบก่อน โดยเติมน้ำเล็กน้อยพอให้ใบพัดทำงานปั่นผักใบกับน้ำสะอาดจนละเอียดจึงค่อย ๆ เติมผัก ผลไม้อย่างอื่นลงไป (สาเหตุเพราะผักใบมันมีกากใยค่อนข้างเหนียว จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการระคายคอ)
  3. รสชาด จะให้กลมกล่อม ให้ใส่พวกเสาวรส แอปเปิลเขียว และแต่งรสด้วยน้ำผึ้งแท้จะดีมาก 
  4. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ควรใส่หลังจากปั่นทุกอย่างเสร็จ เพื่อคงคุณค่าไว้ได้มากที่สุด
  5. ความข้น หลังจากปั่นเสร็จ แนะนำให้ผสมน้ำเพิ่มอีก 1/2 เท่าตัวของที่ทำได้ และพยายามดื่มให้หมดภายใน 1 ชั่วโมงเพื่อประโยชน์สูงสุด
ปล. อย่าลืม ผัก ผลไม้ ที่เราเลือกซื้อมา ควรแช่ด้วยน้ำเอนไซม์แช่ผักอย่างน้อย 30 - 60 นาที เพื่อขจัดสารพิษออกไป 

19 สิงหาคม 2552

เอนไซม์สระผมอาบน้ำ


Fruits Enzyme Shampoo Soap Conditioner for Child & Adult (Chemical Free)
เอนไซม์สระผมอาบน้ำสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ใช้ได้ทุกสภาพผิวและผม

ขนาด 250 มิลลิลิตร ราคา 200 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง)

ขนาด 500 มิลลิลิตร ราคา 350 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง)


ขนาด 5 ลิตร ราคา 2,500 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง)

ด้วยขบวนการผลิตแบบ Lonic Charge นานหลายปีจากผลไม้และน้ำผึ้งทำให้ได้สารอาหาร ฮอร์โมน วิตามิน น้ำมันหอมระเยบ พร้อมการดูดซับเข้าสู่เส้นผม และหนังศรีษะ ทำให้เส้นผมเซลล์รากผมแข็งแรงถนอมเส้นผมให้อ่อนนุ่มละมุนสะอาด สดชื่นป้องกันการติดเชื้อโรคของหนังศรีษะ ลดอาการผมร่วง และรังแค ช่วยลดความมันบนใบหน้า ผดผื่นคัน สิวเสี้ยน ใช้ได้ทุกสภาพผิว (โดยเฉพาะภูมิแพ้)


วิธีใช้

  • สระผม หยดแชมพูลงบนเส้นผมที่เปียก และใช้ฝ่ามือยี้จนทั่วศีรษะ (จะมีฟองน้อยกว่าแชมพูทั่วไป เพราะใช้น้ำด่างธรรมชาติ) แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เส้นผมจะถูกปรับสภาพให้อ่อนนุ่ม
  • อาบน้ำ ล้างหน้า หยดแชมพูลงบนฝ่ามือ หรือฟองน้ำเล็กน้อย ถูให้ทั่วร่างกายและใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
วิธีการเก็บรักษา
เมื่อเก็บไว้นานจะมีตะกอนเรียกว่า Co-Enzyme ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ

หัวเราะบำบัด ช่วยผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

 หัวเราะบำบัด ช่วยผู้ป่วยความดันโลหิตสูง


" นักวิจัยสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าผู้ที่ สบายอก สบายใจ หัวเราะได้มักไม่ค่อย ทุกข์ร้อนกับใคร มักไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน เหมือนคนอื่น แถมยัง เป็น คนแข็งแรงดีด้วย "

ได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจาก นิตยสาร แพทย์ทางเลือก

การวิจัยนี้เป็นผลงานของทีมงานวิจัยจาก มหาวิทยาลัย คาร์เนกี้ เมลลอน ของประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยการตรวจสอบถึงภาวะอารมณ์และจิตใจของอาสาสมัครผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี 334 คนก่อน จากนั้นจึงพ่นเชื้อไวรัสเข้าไปในจมูก เพื่อให้อาสาสมัครป่วยเป็นหวัด

หลังจากนั้นจึงคอยศึกษาอาการและปฏิกริยาของแต่ละคน ดูว่าคนไหนจะเจ็บป่วยและแสดงกิริยาอาการ ออกมากันอย่างใดบ้าง

ซึ่งพวกเขาก็ได้พบว่า ผู้ที่มีความรู้สึกมีความสุขร่าเริง และตื่นตัวตลอดเวลา ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะเป็นหวัด โดยต่างจากผู้ที่มีอารมณ์ซึมเศร้า โมโห ฉุนเฉียวเก่ง ไม่เคยควบคุมอารมณ์ อีกทั้งคนเหล่านี้ยังชอบคดถึงแต่ความเจ็บไข้ของตนอยู่เสมอ

ศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยา ดร. เซลดอน โคเฮน หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวอธิบายว่า "อารมณ์และจิตใจของคนเรา มีผลต่อสุขภาพของเราด้วย"

กล่าวง่าย ๆ ได้ว่าเมื่อสมองของเรารู้สึกเป็นสุขก็จะส่งสารบอกไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของเราด้วยเป็นเหตุให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มันเหมือนกับสภาพอารมณ์และจิตใจของเรา มีอำนาจเหมือนกับยา ที่สั่งให้ฮอร์โมนและระบบประสาทให้ร่างกายเข้มแข็งหรืออ่อนแอได้

ดร.โคเฮน สรุปว่า การศึกษาครั้งนี้ได้บอกให้รู้ง่าย ๆ ว่า

"เราสามารถกำหนดให้ร่างกายของเราแข็งแรงสมบูรณ์ ดีเองได้ โดยไม่จำเป็นต้อง พึ่งหมอ แต่อย่างใด"

การยอมรับในเรื่องการบำบัดด้วยเสียงหัวเราะเริ่มีการนำมาใช้ในโรงพยาบาล หลายแห่ง อย่างศูนย์สาธารณสุขในประเทศบราซิล ก็ได้เปิดแผนก "หัวเราะบำบัด" ขึ้นเพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ นับแต่อาการซึมเศร้า ผู้เป็นความดันโลหิตสูงไปจนถึงผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน

โดยแพทย์จะนัดผู้ป่วยให้มารับการบำบัดเป็นประจำอาทิตย์ละครั้ง โดยจะส่งเสริมให้บรรดาผู้ป่วยพากันหัวเราะออกมาดัง ๆ อย่างเต็มกลั้น อาจมีการจัดกิจกรรมร่วมด้วย ตั้งแต่การเล่นแบบเด็ก ๆ ไปจนถึงการร้องเพลงคาราโอเกะ


อดิรา โรดริเกซ คนไข้รายหนึ่งซึ่งมีอาชีพเป็นข้าราชการบำนาญเล่าว่า "เคยไปรักษาตัวมานานแล้ว แต่เกิดมายังไม่เคยเห็นการรักษาแบบนี้เลย ในตอนแรกผมก็นึกว่าบ้าอยู่เหมือนกัน"

แต่หมอแจ็กเกอลีน ซาเลส หัวหน้าแผนกกำสรวลบำบัด อธิบายว่า

"การหัวเราะช่วยให้ผู้ป่วยโรคต่าง ๆ มีอาการทุเลาขึ้นได้หลายโรค โดยเฉพาะโรคที่มีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความดันโลหิตสูง แ ละเบาหวาน"

18 สิงหาคม 2552

เรื่องเล่าของผู้ป่วย-สยบหอบหืดด้วยวิธีธรรมชาติ

สยบ..หืดหอบด้วยวิธีธรรมชาติ
บรรณาธิการ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ เขียนและสัมภาษณ์โดย ปุญโญ มีบรรจง
แพทย์ทางเลือก ฉบับที่ 2 เล่าสู่กันฟัง พิมพ์ปี 2549


 
“ถ้าไม่มียาผมจะรู้สึกทนไม้ได้ อาการหอบมันจะทำให้ผมทุรนทุราย
เมื่อเป็นหนักๆ ก็จะเพลีย และก็หลับไปเลย”

            แดง พูนคล้าย เด็กหนุ่มจากเมืองพิษณุโลก เป็นโรคหืดหอบมาตั้งแต่กำเนิด และเริ่มเป็นหนักเมื่ออายุได้ 8 ปี

“แม่เล่าให้ผมฟังว่า ตอนเด็ก ๆ เมื่อผมได้รับฝุ่นละอองต่าง ๆ ผมจะเริ่มเป็นหวัด จาม และคัน ซึ่งเป็นลักษณะของอาการภูมิแพ้ ซึ่งทางแก้ทางเดียวนั่นก็คือ ต้องทานยาจึงจะหาย”

อาการดังกล่าวเริ่มมีท่าทีหนักมากขึ้นเมื่ออายุได้ 16 ปี ขณะเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพิจิตร ในช่วงกลางดึกขณะที่แดงกำลังนอนหลับอย่างสบายใจ

“ตอนแรก ๆ ที่มีอาการ ผมก็ไอธรรมดา และเริ่มรุนแรงมากขึ้น จนรู้สึกว่าตัวเองขาดอากาศ ความรู้สึกในช่วงเวลานั้นเหมือนกับคนที่ถูกรัดคอ และต้องดิ้นรนหาอากาศเพื่อช่วยหายใจ มันทรมานมาก”

            อาการที่เกิดขึ้นนั้นได้สร้างความตกใจให้กับเพื่อนร่วมหอพัก และจำเป็นต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ก็แก้ไขโดยวิธีการฉีดยา และให้ออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจ อาการหอบที่เป็นอยู่ก็เริ่มบรรเทาลง แต่ก็ไม่ใช่หายสนิท อาการดังกล่าว ยังคงค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งทรมานและราคาญใจ การบำบัดรักษาก็เป็นเพียง ใช้ยาพ่น และยาเม็ด

            อาการหอบหืด เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของโรคระบบทางเดินหายใจบกพร่อง หอบถือเป็นระยะสุดท้ายของภูมิแพ้ เพราะเมื่อเราแพ้สารพิษต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นควันพิษ ฝุ่นละออง ก็จะเกิดอาการหอบขึ้น
คนที่เป็นโรคหอบนั้นจะทำให้หายใจลำบาก และรู้สึกแน่นหน้าอก ไอมาก ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าหลอดลมกำลังหดตัว ทำให้หายใจไม่สะดวก และจะยิ่งรู้สึกไวมากยิ่งขึ้น เมื่อคุณต้องรับภาระในการหายใจเอาสารแปลกปลอมเข้าไป เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ ควันพิษ และละอองเกสร ก็ยิ่งทำให้เกิดอาการระคายเคือง และการอักเสบมากยิ่งขึ้น หลอดลมก็จะหายใจออก ทั้งนี้หลอดลมจะหดตัวตามธรรมชาติขณะขับอากาศออกมา

            ดังนั้นการแสดงอาการที่เกิดขึ้นจะแสดงมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์บางอย่าง เช่น อยู่ในที่ที่มีฝุ่นควัน หรือ มลพิษ ละอองเกสร ควันบุหรี่ และยาบางอย่าง โดยเฉพาะในกลุ่มแอสไพริน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนต์ต่างๆ  ที่เกิดขึ้นในร่างกาย

แต่สำหรับแดงนั้น ต้นตอของโรคหืดหอบนั้น ล้วนเกิดจากการใช้ชีวิตที่อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนไปด้วยสารพิษ

จังหวัดพิจิตร จะมีอากาศค่อนข้างร้อนจัด วิถีชีวิตของชาวพิจิตส่วนใหญ่ล้วนยังประกอบอาชีพเกษตรกรรม เพราะทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชในปริมาณที่สูงมาก

            “แรก ๆ  ผมก็ไม่เป็นไร แต่พอตกกลางคืน ช่วงตีสองตีสาม ร่างกายผมก็บอกเลยว่าเริ่มเกิดอาการขาดออกซฺเจน ทั้งนี้ผมคิดว่ามันเอาไปใช้ในการหายใจมากเกินไป” แดงเล่าให้ฟังเช่นนั้น

            การขาดออกซิเจนในตอนกลางคืน ทำให้ร่างกายต้องรับภาระหนักในการดึงเอาสารอาหารที่มีอยู่ไปใช้ และเมื่อมีไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องดึงเอาสารอาหารที่อยู่ตามไขกระดูก ไขข้อ ไปใช้ ดังนั้นผลที่ตามมาก็คือ เกิดอาการปวดหลัง และตามข้อกระดูกต่างๆ  ทั่วร่างกายและเมื่ออาการดังกล่าวหายไป ร่างกายก็จะเกิดอาการอ่อนล้า ดังนั้นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหืดหอบส่วนใหญ่มักจะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะจำเป็นต้องหอบอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นวิธีการที่แดงแก้ไขตนเอง จากการเรียนรู้ด้วยจิตของตนเองนั้นทำให้แดงต้องฝึกควบคุมการหายใจ และทำสมาธิให้นิ่ง

“ผมแก้ง่ายๆ ของผมก็คือ การเดินจงกลมและนั่งสมาธิ รวมไปถึงการฝึกเรื่องลมหายใจ ผมมักจะหายใจทางปากเพียงอย่างเดียว ไม่ได้หายใจทางจมูก นอกจากนั้นยังต้องฝึกหายใจออก เพราะการฝึกหายใจออก ออกซิเจนที่มีอยู่ในอากาศจะเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า วิธีนี้มันจะได้ผล แต่มันก็ได้ผลเมื่อเกิดอาการหอบ”

แดงเริ่มรู้จักบ้านสุขภาพมาตั้งแต่ปี 2545 เพราะมาดูงานกับทางวิทยาลัย

“ผมมาดูงานที่ชมรมบ้านสุขภาพกับทางวิทยาลัย ซึ่งขณะที่พักอยู่นั้น ดร.บอกว่า ใครเป็นโรคอะไรบ้าง ?”
ผมก็บอกไปว่า ผมเป็น “โรคหอบ”
ดร.รสสุคนธ์ ท่านก็ให้นมธัญพืชมาทาน ผมก็รู้สึกดี แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ตื่นเช้าขึ้นมาเพราะเหตุใด ผมจึงไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกปวด ทุกอย่างล้วนเป็นปกติ

และเมื่อกลับมาถึงบ้าน แดงก็ไม่รู้สึกเพลียและเหนื่อย กลับถึงหอพักก็นอนหลับสบาย อาการหอบหืดที่เคยเป็น ก็ไม่เป็น

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ล้วนสร้างความประหลาดใจให้กับแดงเป็นอย่างมาก และตั้งใจว่าเมื่อเรียนจบจะมาอยู่ที่บ้านสุขภาพเพื่อเข้ารับการบำบัดรักษาตนเอง

“ที่ผมคิดจะเข้ามาที่นี่นั้นเพราะรู้เลยว่าตัวเองไม่ไหวแน่แล้ว สภาพร่างกายของผมตอนนั้นดูแย่มาก และหากมีอะไรไม่ถูกใจ ก็จะเครียดง่าย”

เริ่มแรกของการบำบัดรักษา อาการดังกล่าวยังเกิดขึ้นเหมือนปกติ แต่ข้อดีคือเราไม่มีอาการปวดเมื่อย และไม่เพลียอย่างที่เคยเป็น งานที่เข้ามาช่วยส่วนใหญ่จะเป็นการทำสวน และเลี้ยงม้า และช่วยเหลือผู้ที่มาเข้ารับการบำบัด

ดังนั้นสิ่งที่แดงต้องทำ และปฏิบัติกับตนเองอย่างสม่ำเสมอ ระหว่างเข้ารับการรักษาก็คือ การทานน้ำธัญพืช น้ำเอนไซม์ และข้าวกล้อง และดื่มน้ำในปริมาณที่มาก นอกจากนั้นก็ทำงานโดยการเข้าสวน และปรับอารมณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเคร่งครัดและมีระเบียบวินัยกับชีวิตของตนเอง

“ผักผลไม้และอาหารบางอย่างล้วนเป็นของต้องห้าม สำหรับผมแล้วผลไม้ที่ให้ความร้อน เช่น ทุเรียน ลำไย กาแฟ ดร.ห้ามผมทานเด็ดขาด ซึ่งท่านบอกผมว่า มันหายได้ แต่ต้องใช้เวลา และใส่ใจกับตนเองห้ามเครียด ทั้งนี้เพราะเหตุที่ผมเคยใช้ยามาเกือบหกปี ”

ปัจจุบัน อาการต่างๆ  ที่เกิดขึ้นกับแดง ได้หายไปจนหมด เหลือเพียงแต่อาการคัน และความเข้มงวดในเรื่องของอาหารที่รับประทาน

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะเหนื่อยมาก  พอเข้าไปในเมืองเจอมลพิษฝุ่นควัน ”

แดงฝากบอกกับทุกท่านที่เป็นเช่นแดงว่า

เกือบ 90 % ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคหอบหืดนั้น ข้อมูลระบุว่าเกิดขึ้นมาจากพันธุกรรม
แต่สำหรับแดงนั้น แดงกล่าวว่า “สำหรับผม พ่อ แม่ ปู่ย่าตายายก็ไม่เคยเป็น  ดังนั้นคำว่า พันธุกรรม น่าจะมาจากพฤติกรรมการชอบรับประทานอาหารแบบเดียวกันมากกว่า รวมไปถึงอาหารที่มีสารพิษตกค้าง และสะสมอยู่ในร่างกายในปริมาณที่มาก ทำให้ผมเป็นโรคนี้”

16 สิงหาคม 2552

ต้อเนื้อ (Pterygium)

ต้อเนื้อ (Pterygium)
โดย โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง)

ต้อเนื้อ  โดยทั่วไปชาวบ้านจะเรียกว่า "ต้อลิ้นหมา" มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อเยื่อแผ่นหนารูปสามเหลี่ยม โดยฐานอยู่ที่ตาขาวและยอดแหลม ยื่นเข้าไปในกระจกตาดำอาจเกิดขึ้นได้ทั้งด้านหัวตาและหางตา

สาเหตุและปัจจัยส่งเสริม
1. เกิดจากถูกลม แสงแดด ฝุ่น ความร้อน รังสี ทำให้เยื่อบุตาเสื่อมพบบ่อยในประเทศเขตร้อน
2. พบมากในช่วงอายุ 30 - 35 แ ชายและหญิงมีโอกาสเป็นเท่า ๆ กัน
3. เป็นต้อลมอักเสบต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจพัฒนนาเป็นต้อเนื้อได้
4. พักผ่อนน้อย สูบบุหรี่บ่อย ดื่มสุราจัด

อาการ
อาจจะไม่มีอาการใด ๆ หรือถ้ามีการอักเสบอาจรู้สึกระคายเคืองตาเหมือนมีผงเข้าตา คันตา น้ำตาไหล ตาแดงหรือปวดตาเล็กน้อยในบางราย เมื่อเป็นนานหลายปีต้อเนื้ออาจลามยื่นเข้าไปถึงกลางกระจกตาดำ ทำให้บดบังการมองเห็นได้

การรักษา
1. ถ้าต้อเนื้อขนาดเล็ก ไม่ลากเข้าตาดำไม่มีอาการอักเสบ ให้หลีกเลี่ยงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
2. ถ้าต้อเนื้อมีอาการอักเสบ ควรพบจักษุแพทย์ เพื่อพิจารณาให้ยา
3. ถ้าต้อเนื้อขนาดใหญ่ จนมองเห็นได้ลามเข้าตาดำ หรืออักเสบบ่อย จักษุแพทย์ อาจพิจารณาผ่าตัดลอกต้อเนื้อออก

วิธีลอกต้อเนื้อ
การผ่าตัดลอกต้อเนื้อเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน โดยฉีดยาชาเฉพาะที่ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ซึ่งในปัจจุบันมีการผ่านตัดอยู่ 2 วิธี คือ

1. วิธีลอกต้อเนื้อ โดยทิ้งบริเวณที่ลอกไว้ให้เนื้อเยื่องอกกลับมาคลุมเองใช้เวลาในการทำผ่าตัดน้อยไม่สิ้นเปลืองอุปกรณ์

2. วิธีลอกต้อเนื้ออกแล้วนำเนื้อเยื่อมาแปะไว้หรือปลูกในบริเวณที่ต้องถูกตัดออกไป โดยการผ่าตัดวิธีนี้ใช้เป็นเนื้อเยื่อรกหรือเยื่อบุตาของตนเอง ใช้เวลาในการผ่าตัดนานกว่า แต่ข้อดีคือลดอัตราการเป็นซ้ำ

การป้องกัน

  • ใส่แว่น เพื่อป้องกันแสงแดด ฝุ่น ลม ควัน ก่อนออกจากบ้าน
  • ผู้ที่อยู่ในงานอุตสาหกรรม ที่มีการเชื่อมโลหะ รังสี ควรสวมแว่นตากรองแสงหรือใส่หน้ากากป้องกันทุกครั้ง
  • ลดการดื่มสุรา และสูบบุหรี่
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
  • การทำงานที่ต้องใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ควรพักสายตาเป็นระยะโดยการหลับตาและมองไกลประมาณ 2 - 3 นาที ทุกครึ่งชั่วโมง การปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยให้สบายตาขึ้น


การแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า "ยังไม่มียาหยอดตาใด ๆ รักษาต้อเนื้อให้หายได้ ยาที่แพทย์ให้เป็นยาช่วยลดอาการอักเสบให้หายไปเท่านั้น และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการดื้อยา หรืออาการข้างเคียงได้"

แต่การแพทย์แบบธรรมชาติบำบัดมีทฤษฏีว่า "ร่างกายมนุษย์คือสิ่งมหัศจรรย์ ร่างกายสามารถเป็นยารักษาตัวเองได้ การเลือกใช้การเสิรมเอนไซม์จากธรรมชาติเพื่อให้ร่างกายบำบัดตัวเองจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง"

ยาหยอดล้างตาเอนไซม์บำบัด อีกทางเลือกของการบำบัด ป้องกัน อาการเกี่ยวกับโรคตาต่าง ๆ

15 สิงหาคม 2552

เรื่องเล่าจากผู้ป่วย- ครึ่งหนึ่งในชีวิต

ครั้งหนึ่งในชีวิต 
One in My Life


"อาการของดิฉันในขณะนั้นเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ เริ่มสู้ไม่ไหว ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียมาก"
นางสาวสุวรรณา สุวรรณโยธิน อายุ 54 ปี ปัจจุบันรับราชการอยู่โครงการปฏิบัติการคันคูน้ำที่ 9 ต.ละหาร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง สังกัดสำนักชลประทานที่ 9 ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
“ตาเจ็บ,ตาแดง,ตาอักเสบ,ตามองไม่เห็น,ตาบอด,ตาฟาง,ตามัว,ตามืด,เคืองตา,โรคตา”
ภาพจากอินเตอร์เนต

เมื่อกลางปี 2544  ดิฉันมองไม่เห็นข้างซ้ายและมีอาการน้ำตาไหลตลอดเวลาแต่ไม่มีขี้ตาได้ไปรักษาที่ ร.พ. หมอบอกว่าเป็นตาอักเสบหลังจาก 1 อาทิตย์ผ่านไปตาเริ่มบวมขึ้นจึงเข้าใจเองว่า "ยารักษาคงไม่ถูกกัน" จึงได้ย้ายโรงพยาบาล จังหวัดจันทบุรี หมอบอกว่า เป็น ตาแดง จึงได้ทานยาไปอีก 1 อาทิตย์ ขณะเดียวกัน ฟันดิฉันเริ่มโยกมากขึ้น ด้านซ้าย ทั้งบน และล่าง พออาทิตย์ที่ 3 ก็ไปหา หมอตามนัดอีกแต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึง โรงพยาบาลได้จัดการเปลี่ยนหมอให้ ทั้งนี้เนื่องจากหมอท่านเดิมได้ย้ายบ้านไปแล้วสาเหตุเพราะน้ำท่วม

อาการของดิฉันในขณะนั้น เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ เริ่มจะสู้ไม่ไหวทั้งเหนื่อยและเพลียมาก จึงได้ขอกลับไปตรวจที่โรงพยาบาลที่จังหวัดจันทบุรีเพื่อขอยาทานชั่วคราวก่อน คุณหมอที่โรงพยาบาลได้ตรวจเช็ค และแจ้งว่า "ดวงตาด้านซ้ายของคุณมองไม่เห็นแล้วขอให้คุณไปรักษาโรงพยาบาลอื่น" โดยคุณหมอได้ทำใบส่งตัวให้ทันทีดิฉันตกใจมาก พอไปถึงโรงพยาบาลคุณหมอสั่งให้ไป X-ray ตา  และสมองมาก่อน เมื่อผลการ x-ray ฟิลม์ปรากฏคุณหมอดูแล้วบอกว่าเป็น "เนื้องอกในสมองถ้าจะผ่าตัดสมองให้ไปที่โรงพยาบาลนี้ เพราะที่นั้นมีหมอที่เก่ง และมีเครื่องมือที่ใหม่  และทันสมัยที่สุด หลังจากผ่าตัดมาแล้วขอให้มาบอกประวัติกับหมอที่นี่อีกครั้งจะได้ทำประวัติไว้ แต่หมอไม่รับรองนะว่าหลังผ่าตัดแล้วจะมองเห็น"

ดิฉัน ได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าประสบการณ์ของหมอคงจะเคยมีคนไข้ที่ผ่าตัดแล้วมองไม่เห็นและนั่นทำให้ดิฉันไม่กล้าไปรักษาที่โรงพยาบาลอีก น้องสาวบอกว่าเอาฟิล์ม ไปให้ ดร.รสสุคนธ์ดูก่อนบางทีอาจจะรักษาด้วยวิธีการฝังเข็มได้

เมื่อ ดร.รสสุคนธ์ ได้ดูฟิลม์ X-ray แล้วได้ตอบกลับมาว่า "ไม่ใช่เนื้องอกเหมือนน้ำงอก ที่มีติ่งยื่นออกมา น้ำที่ไหลออกมาจากตานั้นเป็นน้ำกรดกัดเส้นที่หางตาให้ขาด น้ำตาจึงไหลมากแก้มก็บวม น้ำนี้ไปกัดฟันให้โยกพร้อมที่จะหลุดออกไป ขณะนี้ฟันโยกหรือยัง"

ดิฉันดีใจมาก เพราะไม่เพียงจะมีโอกาสได้เห็นแสงสว่างจากดวงตาแล้ว ดิฉันยังได้รับคำตอบที่ตัวเองสงสัยมานานแล้วยังไม่เคยได้บอกหมอคนไหนเลยว่า "ฟันโยกมาก" เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เข้าใจไปเองว่า ตัวเองคงเคี้ยวอาหารที่แข็ง แต่กลับมาคิดอีกทีก็ไม่น่าใช่ เพราะตัวเองทานอาหารเจมาตลอด 1 ปี ซึ่งก็มีแต่ผัก

นับจากวันนั้น ดิฉันจึงได้ไปอยู่่เป็นคนไข้ของ ดร.รสสุคนธ์ เป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งวิธีการรักษา เช้า กลางวัน เย็น ก็คือ ดื่มน้ำ Nature Plants ลูกเดือย เม็ดบัว ถั่ว งา ข้าวกล้อง น้ำผักปั่น ซึ่งประกอบไปด้วย ผักกาดหอม มะเขือเทศ หอมใหญ่ คื่นฉ่าย น้ำผึ้ง เสาวรส และทำการฝังเข็มรวมถึงการหยอดตา และการฝังทราบ โดยต้องนอนมาก จะได้ไม่ต้องใช้สายตา เวลาเช้า - กลางคืน ต้องสวดมนต์ และไหว้พระทุกวัน ระหว่างที่อยู่บ้าน ดร.รสสุคนธ์นั้นก็คิดว่า "เวลานี้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไรอีกแล้วปฏิบัติตนอย่างดีที่สุด"

ดร.รสสุคนธ์บอกว่า "ดื่มน้ำน้อย" ใช่เลย! ค่ะ เพราะภายใน 1 วัน ดิฉันดื่มน้ำไม่เกิน 1 แก้ว แต่ดื่มน้ำอัดลมแทน แต่ ดร.รสสุคนธ์ให้ดื่มน้ำผัก 6 ลิตรต่อวัน แต่ดิฉันทำได้แค่เพียง 4.5 ลิตรต่อวันเท่าน (3 ขวดใหญ่) เช้า หลังอาหาร 1 ขวด กลางวัน 1 ขวด เย็น 1 ขวด สวดมนต์นั่งสมาธิ แล้วนอน ตี 5 ตื่นเช้าขึ้นมาขาดไม่ได้ต้อง สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน และออกกำลังกายปฏิบัติตามขั้นตอน อย่างเคร่งครัด พอถึงวันที่ 3 ตกบ่ายเวลา 16.00 น. คุณแม่ มาเยี่ยม ตาด้านซ้ายของดิฉันมองไม่เห็นเลย พอช่วงเย็นเวลา 18.00 น. พี่สาวก็มาเยี่ยมอีกทีคราวนี้ดิฉันเริ่มมองเห็นแล้วว่า เป็นรูปศรีษะ แต่มองไม่เห็น ตา จมูก ปาก มองไปข้างนอกเห็นเป็นรูปต้นไม้

แค่นี้ก็ดีใจมากทีสุดแล้วค่ะ ดิฉันจึงขยันที่จะดื่มน้ำผัก และหยอดตาให้บ่อย (ด้วยเอนไซม์ล้างตา ของดร.รสสุคนธ์ทำมาจากเอนไซม์ผลไม้) เมื่อหยอดแล้ว นอนสักพักจะมีขี้ตาออกมา พอผ่านไปได้ 2 เดือน กลับไปทำงานซึ่งเวลานั้น ดิฉันเพิ่งย้ายมาทำงานที่ใหม่ที่โครงการชลประทาน จังหวัดตราดระหว่างที่ปฏิบัติงานนั้น ตายังมองไม่เห็นหมดตรงกลางยังเป็นจุด มองทั้งหน้าที่ไม่เห็นจมูกนั่นแหละค่ะ ดร.รสสุคนธ์ บอกว่าโรคนี้ห้ามทานผงชูรส สารกันบูด ปุ๋ย สารเคมี

ดังนั้นอาหารที่ทานต้องทำเอง ห้ามไปซื้อมาเพราะจะมีผงชูรส ดำเนินชีวิตอย่างนี้มา 1  ปี ตาดิฉันจึงหายเป็นปกติ และสังเกตตัวเองว่า วันใดที่ทานก๋วยเตี๋ยวปลา ตาจะบวม และมีขี้ตามาก เนื่องจากน้ำในก๋วยเตี๋ยวมีสารเคมี ตาจึงมีอาการทันที

ดร.รสสุคนธ์ ได้บอกไว้ว่า "ถ้าจะทานปลาก็ขอให้เป็นปลาที่ไม่ได้อยู่ในทะเลลึก เป็นเรือที่หาปลาเช้าไปเย็นกลับ แช่แต่น้ำแข็งอย่างเดียวไม่มียาอื่นปนอยู่"

เหมือนได้เกิดใหม่เลยค่ะ ถ้าวันนั้นดิฉันไปหาหมอแล้วไปผ่าตัด ดิฉันจะมองเห็นหรือเปล่า ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า วิธีการรักษาของ ดร.รสสุคนธ์ จะรักษาให้หายขาดได้ และประหยัดด้วยค่ะ

ข้อมูลจากชมรมบ้านรักษ์สุขภาพ

14 สิงหาคม 2552

ผลิตภัณฑ์เอนไซม์บำบัด

ผลิตภัณฑ์เอนไซม์
จากชมรมบ้านสุขภาพ
ดร. รสสุคนธ์

น้ำพลังเอนไซม์บำบัด (ไม่ใช่ยารักษาโรค)

เครื่องดื่มในการฟื้นฟูสุขภาพ ที่อุดมด้วยสารอาหารวิตามิน A, D, E, K, B รวม, C, กรดอะมิโน ฮอร์โมนและอื่น ๆ อีกมาก สกัดจากผลไม้รวม และลูกยอป่า ซึ่งมีโอถสสารจำนวนมากผ่านขบวนการ
หมักบ่มนานหลายปี เพื่อลดขนาดโมเลกุลให้เล็กลง
จนสามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายและเร็วขึ้น รู้สึกได้ถึงการผ่อนคลาย (อ่านต่อ...)






อุดมด้วยพลังเอนไซม์อ๊อกซิเจนและสารอาหารด้วยเทคโนโลยีไบโอนาโน ทำให้การแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น สลายสารพิษให้เปลี่ยนรูปเป็นสารอาหารหลังแช่ผักจะสดกรอบเก็บได้นานขึ้น ช่วยสลายไข่แมลง ไข่พยาธิ ทำให้ฝ่อลดกลิ่น

คาวปลาแช่ เนื้อสัตว์ เพิ่มความนุ่ม เพิ่มน้ำหนัก (อ่าน

มี 2 ขนาด คือ
1. ขนาดบรรจุ 750 ml ราคา 200 บาท
2. ขนาดบรรจุ 5 L ราคา 750 บาท








เอนไซม์ล้างตาจากธรรมชาติ ผลิตด้วยผลไม้ประเภทเนื้อขาวและส้ม รวมกับสมุนไพรหอมด้วยวิธี Ionic Charge ราคาขวดละ 100 บาท (อ่านต่อ...)









ครีมบำรุงผิวเอนไซม์สูตรกลางวัน (ฝาเงิน) และครีมบำรุงผิวเอนไซม์สูตรกลางคืน (ฝาทอง)


ด้วยคุณค่าของสารสกัดจากผลไม้ ทั้งกรดเอเอชเอ วิตามินเอ วิตามินซี และเอนไซม์จากผลไม้ ช่วยในการปรับสภาพผิวหน้าให้ใสกระจ่าง เนียนเรียบ ลดริ้วรอย ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และให้พลังงานแก่เซลล์รวมทั้งคืนความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์ผิวหนังอีกด้วย .... (อ่านต่อ เดย์ครีม, อ่านต่อ...ไนท์ครีม)

ผลิตภัณฑ์ของชมรมบ้านสุขภาพ



เงื่อนไขการสั่งซื้อ โอนเงิน และขนส่ง

เงื่อนไขการสั่งซื้อ การโอนเงิน และการขนส่ง

การสั่งซื้อ
1. สั่งซื้อโดยตรงกับคุณตู๋ที่เบอร์ 085-7100612

(ช่วงเวลาการติดต่อ 8.00 - 19.00 น.)
2. สั่งซื้อผ่านอีเมล์ ถึงคุณตู๋ที่ tusora@hotmail.com

3. ส่งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และรายการสินค้า มาที่ Fax : 02-9715571

การสั่งซื้อ ต้องแจ้งรายละเอียดลูกค้า ดังนี้
  • ชื่อ นามสกุล
  • ทีอยู่สำหรับจัดส่งของ
  • เบอร์โทรติดต่อกลับ
  • อีเมล์สำหรับแจ้งกลับ
  • รายการสินค้า และจำนวน
เมื่อทำการสั่งซื้อ ทางร้านค้าจะทำการแจ้งยอดค่าสินค้าและบริการผ่าน Email กรุณารอ Email ตอบรับจากทางร้านค้าก่อนดำเนินการโอน


การโอนเงิน

เมื่อได้รับอีเมล์แจ้งราคาสินค้าพร้อมค่าบริการขนส่ง (ทั้งในการคำนวณค่าจัดส่งจะเป็นตามจริงของไปรษณีย์ไทย ซึ่งลูกค้าควรรอให้ทางร้านแจ้งยอดสินค้าและบริการที่ถูกต้องยืนยั่นก่อนดำเนินการโอนค่ะ)

ให้ทำการโอนเงินไปยังบัญชี....



ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาพระราม 9
ชื่อบัญชี นางสาว ทิฆัมพร ตันติวิมงคล
เลขที่บัญชี 066-249899-0
บัญชีเงินฝากออมทรัพย์

ตามยอดที่แจ้งทางอีเมล์ เมื่อโอนเรียบร้อยแล้ว กรุณาอีเมล์แจ้งที่ tusora@hotmail.com หรือ Fax: 02-971-5571

ซึ่งหากได้รับการยืนยันค่าสินค้าและบริการแล้ว กรุณาโอนเงินภายใน 3 วัน หากล่าช้าทางร้านค้าขอระงับใบสั่งซื้อนั้น หากมิได้มีการติดต่อกลับจากทางลูกค้า


หากมีปัญหาใด ๆ ในการโอนเงิน กรุณาแจ้งที่อีเมล์ tusora@hotmail.com หรือโทรแจ้งที่คุณตู๋ 085-7100612 (เวลา 8.00 - 19.00 น.)

หมายเหตุ ****ทางร้านมีความจำเป็นต้องทำธุรกรรมผ่านธนาคารไทยพาณิชย์แห่งเดียวเท่านั้น หากลูกค้าประสงค์จะโอนต่างธนาคารกรุณาโทรแจ้งที่คุณตู๋ 085-7100612

การขนส่ง
ทางร้านมีบริการขนส่ง 3 แบบ คือ

1. โดยพนักงาน คิดค่าบริการตามระยะทางจริง โดยมียอดสั่งซื้อตั้งแต่ 2000 บาท ขึ้นไป (เฉพาะในเขตกรุงเทพ)
2. ทางไปรษณีย์ คิดค่าบริการตามจริง ไม่มียอดขั้นต่ำ

(ยกเว้นเครื่องดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดทั้ง 3 ชนิด จะจัดส่งเฉพาะทางขนส่งเท่านั้น โดยต้องสั่ง 4 ขวดขึ้นไป)
3. ทางบริษัทขนส่ง (สำหรับต่างจังหวัด)
3.1 ค่าขนส่งคิดอัตราเหมา 200 - -300 บาท ต่อ 1 กล่อง มาตรฐาน (ใส่ขวดเอนไซม์ 12 ขวด)
3.2 ค่าขนส่งคิดตามน้ำหนักจริงของบริษัทขนส่ง และรถจัดส่ง



***รบกวนช่วยโอนเงินให้เรียบร้อยก่อน จึงจะจัดส่งสินค้า โดยระยะเวลาการจัดส่งทางขนส่งจะเร็วหรือช้าขึ้นกับระบบขนสง ตั้งแต่ 3 - 7 วัน (ไม่คิดรวมวันเสาร์ - อาทิตย์)***




    13 สิงหาคม 2552

    น้ำผักปั่น...ปัญหาคาใจ

    น้ำผักปั่น...ปัญหาคาใจ เรื่อง : ชมรมบ้านสุขภาพ
    คุณสมบัติของน้ำผัก เรื่อง : ชมรมบ้านสุขภาพ



    ในน้ำผักเป็นกรดอ่อน ๆ ที่มี คลอโรฟิลล์ ( Chlorophyll สารสีเขียวในพืช ) มีวิตามินเอ วิตามินซีธาตุเหล็ก โปแตสเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส

    ซึ่งเมื่อทานเข้าไป จะเกิดการแลกเปลี่ยนการใช้สารอาหารได้สูงสุด ณ จุดที่ร่างกายสามารถนำของ เสียทิ้งได้ทั้งหมด และทำให้ร่างกายสร้างพลังงานในแต่ละเซลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลให้เกิดการ สร้างเซลใหม่ทดแทนเซลเก่าที่ตายในแต่ละวันได้เต็มที่

    ลักษณะนี้
    คือ ปัจจัยสูงสุดที่ร่างกาย จะไม่เกิดความอ่อนแอ ในทุกอวัยวะ
    ดังนั้นเมื่อไปอยู่ในประเทศไหนก็แล้วแต่ ถ้าได้สัดส่วนของสารอาหารออกมาเป็นกรดอ่อน มีคลอโรฟิลล์แล้วมีสารอาหารพวกโปแตสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ครบ 5 ตัวนี้


    ในค่า pH = 4 และมีคลอโรฟิลล์ มีวิตามินเอ และวิตามินซี
    ซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถมีอาหารได้เต็มที่ในแต่ละเซล ถ้าทุกเซลแข็งแรงไม่มีเซลตายก็ไม่แก่เลย ถ้าค่า pH เป็น "กรดเกินไป" การใช้แคลเซียมก็จะยาก "กรดอ่อน" ทำให้เกิดการใช้ไขมัน ทำให้ไขมันถูกย่อยสลายได้เร็ว ถ้าเป็น "ด่างเกินไป" การย่อยสลายไขมันก็ทำได้น้อย


    ไขมัน คือของแข็งที่มีปริมาณถึง 60% ของของแข็งทั้งหมดในร่างกาย ไขมันคือตัวที่จะไปเปลี่ยนเป็นน้ำหล่อเลี้ยง น้ำเมือกที่ไปหล่อเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย น้ำไขข้อ เป็นไขกระดูก เป็นกล้ามเนื้อ เป็นกระดูก เส้นเอ็น ไขมันหล่อเลี้ยงเส้นผมเป็นลำดับ


    pH ของน้ำผักที่เหมาะสมกับคนไทยอยู่ที่ pH 4-6 คนอ้วนมาก ให้น้ำผักที่ pH 4 เลย เนื่องจากคนอ้วนมีไขมันค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ น้ำผักจะเปลี่ยนไขมันเป็นโคเลสเตอรอล ไปเป็นไตรกลีเซอไรด์ และเป็นกลีเซอไรด์ในที่สุด ซึ่งร่างกายนำไปใช้ได้


    การดื่มน้ำผัก .......ช่วยอะไร ? เรื่อง : ชมรมบ้านสุขภาพ


    การดื่มน้ำผัก การเติมสารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่จำเป็นและที่สำคัญคือ คลอโรฟิลล์ เมื่อดื่มเข้าไปแล้วส่วนที่ต้องถูกดูดซึม ก็จะไป "ฟื้นฟูตับ" มันจะไปก่อน พอ "น้ำตับหลั่ง" น้ำตับอ่อนก็หลั่ง การย่อยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินก็จะทำได้มากขึ้น ในขณะที่ตัวมันไปย่อยไขมันส่วนที่ เก่าส่วนหนึ่ง แล้วเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน ดังนั้นร่างกายก็ได้พลังงานมาสนับสนุนให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้มากกว่าเดิม


    น้ำผักสูตรบ้านสุขภาพเป็นน้ำผลไม้ผักสด จึงช่วยล้างสิ่งปฏิกูลในร่างกายตลอดจนสารพิษต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ คือ ลดอาการปวดต่าง ๆ จากอาการท้องเสีย หรือมีของเสีย ค้างอยู่ในระบบเลือดมากจนปวดตามกล้ามเนื้อ อาการปวดหลังดังกล่าวจะลดลง ลดอาการปวดศีรษะ ลดไข้ ลดความอ่อนเพลีย ลดอาการนอนหลับยาก ลดอาการนอนกรน

    ซึ่งอาการที่ดีขึ้น คือ ขบวนการที่ร่างกาย ชะล้างของเสียออกได้ดีขึ้น ซึ่งอาการดังกล่าว ไม่ควรเก็บกดได้ด้วยการใช้ยาระงับปวด ซึ่งเป็นการไปหยุดความ สามารถในการ ชะล้างของร่างกาย ทำให้เกิดสารพิษมากขึ้นในทุกระบบของร่างกาย และแพร่กระจาย สะสมจนก่อเกิดเซลมะเร็ง

    การกินน้ำผักก่อนเป็นการเตรียมร่างกายให้ย่อยสารอาหารที่เรากินลงไปได้ดีกว่าเดิม นั่นคือ เกิดสภาวะดีกับร่างกายทั้งระบบ


    สรุป น้ำผักทำหน้าที่ 2 อย่างในเวลาเดียวกันคือ

    1. ให้สารอาหารที่ร่างกายนำไปฟื้นฟู ตับกับตับอ่อน

    2. กระตุ้นให้ร่างกายพร้อมในการ ย่อยไขมันที่เหลือค้างอยู่ เปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานทำให้ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะย่อยสารอาหารที่รับประทานเข้าไปในมื้อต่อไป


    ส่วนประกอบของน้ำผักและประโยชน์
    เรื่อง : ชมรมบ้านสุขภาพ

    น้ำผักมีสารอาหารแร่ธาตุที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ช่วยการทำงาน 5 ระบบ คือ ระบบดูดซึม ระบบทางเดินหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อ
    • ผักกาดหอม ช่วยฟื้นฟูเซลโดยเฉพาะระบบประสาทและเซลในปอด ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ช่วยบำบัดโรคโลหิตจาง
    • คื่นฉ่าย ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทและฟื้นฟูการสร้างเซลเม็ดเลือด ช่วยชะล้างของเสียในระบบเลือด ช่วยให้ร่างกายมีความสามารถใช้แคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการเจ็บปวดของระบบข้อเสื่อมต่าง ๆ
    • มะเขือเทศ ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ช่วยทำให้ผิวพรรณดี เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายมีสารช่วยย่อยอาหาร ทำให้เยื่อบุกระเพาะ ลำไส้ทำงานเป็นปกติ
    • หอมหัวใหญ่ ช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง
    • มะนาว ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน
    • น้ำผึ้ง ให้พลังงานสำรองกับม้าม
    • อัตราส่วนของผักที่จะใส่น้ำผักปั่น ผักกาดหอม 2 ใบ คื่นฉ่าย 2 ก้าน มะเขือเทศ 1 ลูก ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ) หอมหัวใหญ่ 1/4 ลูก ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ) น้ำผึ้ง 2 ช้อน เสาวรส หรือ มะนาว 1 ลูก แอปเปิ้ล 1/2 ลูก น้ำสะอาด 2 แก้ว วิธีทำ 1. นำส่วนประกอบที่กล่าวในข้างต้นใส่ลงในโถปั่น 2. ปั่นน้ำผักเป็นเวลาประมาณ 20 วินาที 3. เทน้ำผักที่ปั่นแล้วลงในแก้ว ( จะได้น้ำผักปั่น 2 แก้ว )
    หมายเหตุ ควรดื่มทันทีเพื่อสงวนคุณค่าทางอาหาร