google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

31 มีนาคม 2563

ไต กับการฟื้นฟูและดูแลด้วยธรรมชาติบำบัด

ไต กับการฟื้นฟูและดูแลด้วยธรรมชาติบำบัด
........................
ไต เป็นอวัยวะรูปถั่วตั้งอยู๋ใต้ซี่โครงล่างๆ ค่อนไปทางด้านหลังของช่องท้อง ตามปกติแล้ว ไตจะกรองเลือดที่ไหลเวียนผ่านามาจำนวนราว 200 ลิตร และถูกขับออกมาอยู่ในรูปของปัสสาวะ

ไตต้องรับหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งในการกรองของเสีย ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เราทานเข้าไป รวมถึง
เนื้อเยื่อ หรือ เซลล์ตายที่เสื่อมสลาย ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับรถยนต์แล้ว ไตก็เปรียบเสมือนไส้กรองน้ำมัน

นอกจากกรองของเสียแล้ว "ไต" ยังทำหน้าที่ควบคุมระดับสารเคมีที่สำคัญที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ รวมทั้ง
ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ร่างกายใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง รวมทั้งดูแลแรงดันโลหิตและระดับแคลเซียมในร่างกาย



หากเทียบกับคนทั้งโลก คนไทยน่าจะเป็นชาติที่ "ไต" ทำงานหนักที่สุด เพราะไม่ว่ามองไปทางใด คนไทยเป็นกลุ่มที่ทานอาหารรสจัดกันทั้งประเทศ ทานอาหารแทบทุกรส และมีการปรุงแต่งมากมาย ไต ที่เปรียบเสมือนกับเครื่องกรองก็จะทำงานหนักมาก

สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานนั้น ก็มีความเสี่ยงต่ออาการไตวายมากกว่าผู้อื่น
ซึ่งสำหรับการรักษากรณีผู้ป่วยที่เป็นโรคไตมานาน และยังไม่ได้ล้างไต นั้น วิธีการรักษาในแนวธรรมชาติบำบัด
สามารถบรรเทาและช่วยประคับประคองผู้ป่วยได้

การเข้าสู่การรักษาแบบตะวันตก แพทย์จะงดอาหารเค็มเป็นหลัก เพื่อลดการคั่งของน้ำในร่างกาย
แล้วต่อด้วยการทานยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ ACE ซึ่งลดแรงดันโลหิต โดยการทำให้เส้นเลือดแดงผ่อนคลาย
และในที่สุดก็จะแนะนำให้ทำการ "ล้างไต"

ซึ่งอาการที่แสดงว่า ไตเริ่มวาย แล้วนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศรีษะ อ่อนเพลีย รู้สึกคันตามเนื้อตัว
ปัสสาวะน้อยครั้งลง เบื่ออาหาร คลื่นไส้และอาเจียน เจ็บหน้าอก หรือหายใจไม่เต็มปอด ไม่มีสมาธิ ผิวคล้ำลง เป็นตะคริวและสะอึก

ซึ่งในแนวทางการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด ที่ชมรมบ้านสุขภาพแนะนำนั้น มีดังนี้
ทานอาหารที่มีรสชาดจืดสนิท ไม่ต้องปรุงแต่งรสเลย
งดทานอาหารประเภทแป้ง แต่งสี แต่งกลิ่น แต่งรส
ดื่มน้ำผักให้ได้วันละ 10 แก้ว
ทานซุปผักทดแทานมื้ออาหารปกติ
งดออกกำลังกายในช่วงเวลาเย็
พยายามทำสมาธิให้ได้ตลอดวัน
และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องของการควบคุมอารมณ์ คือ "ห้ามเครียด"

การเครียด จะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น
การทำสมาธิ เป็ฯการสร้างกำลังให้กับไต เพราะเมื่อเกิดสมาธิจนนิ่งแล้ว จะทำให้เกิด
การซ่อมแซมระบบประสาทภายในกรวยไต กล้ามเนื้อไต ตลอดจนท่อไต ที่เชื่อมโยงกับการหลั่งเอนไซม์จากตับและตับอ่อน
ทำให้เกิดการปรับสมดุลฮอร์โมน เอนโดฟิน อะดรีนาริน คอติโซน และเมลาโธนิน

ทานน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ อาหารรสจืด ตามสูตรชมรมบ้านสุขภาพ

ซึ่งสิ่งสำคัญ สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหา ตับ ไต และลำไส้นั้น สิ่งที่ต้องห้ามเด็ดขาดคือ
แกงป่า แกงส้ม แกงอ่อม ขี้่เหล็ก ของดอง ชะเอม ชะพลู ใบยอ ผักโขม สะเดา
ข้าวโพด ไชเท้า หัวปลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี บล็อคโคลี่ ใบกุยช่าย งา ถั่วลิสง ถั่วเน่า
ลูกกะ กะทิ เผือก ฟักทอง เต้าเจี้ยว เกลือ สาหร่ายทะเล อาหารทะเลทุกชนิด นมข้น
คอฟฟี่เมท ใบมะม่วงหิมพานต์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผักกระโดน น้ำตาลกรวด มะละกอดิบ
มะพร้าวอ่อน วีทเจอร์ม ข้าวเหนียว เผือก ฝรั่ง อัลมอนต์ ลูกพรุน ลูกเกด (กินได้ถ้าไม่เชื่อม) (ซุปผักห้ามใส่มันฝรั่ง ข้าวกล้อง ใส่ให้น้อยที่สุด หรือไม่ใส่เลย)
อาหารที่เป็นพิษต่อไต มีสารปรอทมาก เช่น ปลาทู ปลาโอ ปลาหมึก อาหารขัดสีทุกชนิด

ดร.รสสุคนธ์ แนะนำสำหรับผู้ดื่มน้ำแร่ว่
ผลเสียของที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายนั้น ขึ้นอยู๋กับการใช้ชีวิตของแต่ละคน ถ้าทำงานหนักแบบคนที่ใช้แรงงาน หรือ
หรือนักกีฬาที่สูญเสียเกลือแร่ต่อวันในปริมาณที่สูง ถ้าทานเป็นครั้งเป็นคราวก็ไม่เป็นอะไรแต่สำหรับคนปกติ และผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตนั้น ไม่ขอแนะนำ เพราะน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่เกินกว่าที่ร่างกายจะต้องการจะถูกขับออกมา ทำให้ไตจะทำงานหนัก

อาหารฟื้นฟูไต ดังนี้
มันแกว โปรตีนเกษตร ฟองเต้าหู กล้วยต้ม มะตูมสุก กระเทียว ถั่วดำ ลูกสละ ระกำ
เม็ดบัว ฟักบัว ผักหวาน ดอกไม้จีน พุทราจีน บวบ มะระ เก็กฮวย ลูกเดือย เกาลัด มันเทศ เก๋ากี้ ผักบุ้ง ตำลึง ผักกาดขาว
กวางตุ้ง ผักกาดเขียว ใบมะขามอ่อน ดอกมะขามอ่อน ยอดแค ดอกแค เมล็ดทานตะวัน ฟัก เห็ดทุกชนิด ลูกพลับสด
ยอดมะยม ใบทองหลาง มะเขือ กระเจี๊ยบเขียว ยอดฟักทอง องุ่น (ขับปัสสาวะป้องกันนิ่วในไต) น้ำองุ่นสดปั่น (ทำความสะอาดตับไต รับประทานประมาณสองสัปดาห์ ควรแช่เอนไซม์ล้างผัก)

การใช้เอนไซม์ สำหรับการบริโภค : ควรใช้แบบเจือจาง และปฏิบัติตามหลักบัญญัติ 10 ประการอย่างเคร่งครัด


ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์ @qwd5997q

7 มีนาคม 2563

เอนไซม์ ความหมายเดิม หมายถึง การหมัก (Fermentation) จึงเคยมีชื่อว่า Zymosis โดยมีรากศัพท์เดิมมาจากภาษากรีกโบราณ (ค.ศ.1878) ซึ่งแปลว่า “การหมัก”
คำว่า เอนไซม์ อาจดูแปลกหูอยู่สักหน่อยสำหรับบุคคลทั่วไป แต่ชาวชีวจิตส่วนใหญ่มักเข้าใจความหมายและประโยชน์ของเอนไซม์เป็นอย่างดี เพราะเอนไซม์คือตัวกลางที่ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้วงจรหรือระบบต่างๆ ในร่างกายของเราทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เนื่องจากในร่างกายของเราประกอบด้วยเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น เพปซิน เป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยพวกเนื้อสัตว์หรือโปรตีน ไลเพส คือเอนไซม์ที่ช่วยย่อยไขมัน เป็นต้น แต่ทั้งนี้เอนไซม์มีหน้าที่สำคัญสองประการ คือ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้น และเพื่อบำรุงส่งเสริมให้ระบบต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น



ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพพลังเอนไซม์บำบัด
1. เอนไซม์ ช่วยเปลี่ยนอาหารคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และเส้นใยอาหารให้เป็นกรดอินทรีย์ เช่น กรดแลคติก กรดอะซิติก และกรดบิวทิริก ซึ่งมีความเป็นกรดอ่อน ๆ ทำให้เอนไซม์มีรสเปรี้ยว และช่วยทำให้การขับถ่ายเป็นไปได้อย่างสะดวก กรดอินทรีย์ชนิดบิวทีริกเสริมสร้างการสร้างดีเอ็นเอ และเพิ่มจำนวนเซลล์บุผิวในลำไส้ใหญ่ให้มีมากแข็งแรงมีอายุยืนกว่าเดิม ทำหน้าที่ต้านเชื้อโรคได้ดี ต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดี
2. เอนไซม์สร้างวิตามิน บี ๑๒ วิตามิน K และวิตามิน B หลายชนิด ช่วยบำรุงเม็ดเลือด เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท และเซลล์ทั่วไป
3. ช่วยสร้างเอนไซม์แลคเตส เพื่อย่อยน้ำตาลในนม ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ดังนั้น เด็ก ๆ ที่ยังดื่มนมสามารถดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดผสมในนมได้
4. สร้างสารต่อต้านเชื้อโรค สารอินทรีย์นี้เรียกว่า แบคทีริโอซิน (Bactiriocins) มีหลายชนิด ได้แก่ acidolin, acidophillin, bulgarican, lactocillin และ niacin ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโทษต่อรางกายการ เช่น เชื้อที่ทำให้เจ็บคอ เชื้อที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง เชื้อที่ทำให้เกิดโรคตามผิวหนังเป็นแผลพุพองเรื้อรัง ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ เชื้อที่ทำให้ท้องร่วง และเชื้อที่ทำให้เกิดเหม็นเน่า
5. ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด เหมาะสำหรับผู้มีระดับไขมันในเลือดสูง หรือความดันสูง
6. ช่วยในการทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะช่วยยืดระยะเวลาการหมดประจำเดือน และบรรเทาอาการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วย เนื่องจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน
7. ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการฉายรังสี และเคมีบำบัดหลังการผ่าตัดมะเร็ง ลดอาการแพ้ คลื่นไส้ ผมร่วง ทำให้รับประทานอาหารได้ดีขึ้น และพบว่าทำให้ปริมาณฮีโมโกบินสูงขึ้นด้วย
8. ช่วยลดการเกิดสารก่อมะเร็งบางชนิด เช่น ไนโตรซามีน
9. ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในสัตว์ทดลอง ทั้งในระยะเริ่มต้น และระยะส่งเสริมของโรคมะเร็ง และในทางระบาดวิทยา พบว่าในคนมีความสัมพันธ์กับการลดอัตราการเสี่ยงของมะเร็งลำไส้

สรุปประโยชน์ของเอนไซม์ได้ ดังนี้
1. ช่วยปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกาย
2. ทำใหระบบการย่อยและขับถ่ายดีขึ้น
3. ทำให้เซลล์ในร่างกายได้รับสารอาหารอย่างสมดุล
4. สลายสารพิษและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย (ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ)

จากหนังสือเอนไซม์ โดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ มูลนิธิภูมิปัญญาสากล ราคา 50 บาท (ฉบับสำเนา)