google.com, pub-8763358055991640, DIRECT, f08c47fec0942fa0

28 มิถุนายน 2554

โรค SLE หายได้ด้วยธรรมชาติบำบัด

 โรค SLE หรือ โรคลูปัส  (Systemic Lupus Erythematosus : SLE) หายได้ด้วยธรรมชาติบำบัด

เป็นโรคหนึ่งในกลุ่มโรคแพ้ภูมิตนเอง หรือ Autoimmune disease และย่อมาจาก Systemic Lupus Erythematosus ที่เรียกเช่นนั้นเพราะโรคนี้ โดยรวมเกิดจากขบวนการอักเสบที่ไม่ใช่การติดเชื้อ เกิดขึ้นเนื่องจากภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเอง (ซึ่งโดยปกติจะสร้างไว้เพื่อทำลายและป้องกันการติดเชื้อ)

แต่เมื่อภูมิต้านทานเพี้ยนไป ทำให้เกิดการต่อต้านเนื้อเยื่อของร่างกายตนเอง การอักเสบจะเกิดได้กับอวัยวะต่าง ๆ ได้ แต่ในผู้ป่วยแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน 

ดังนั้นการรักษาจึงมักจะแตกต่างกันไป ก่อนจะทำการฟื้นฟูร่างกายของตนเอง เพื่อฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน เรามาทำความรู้จักโรค SLE กันอีกสักนิดว่า เกิดขึ้นเพราะอะไร หรืออะไรคือสาเหตุที่แท้จริง เพื่อจะได้ฟื้นฟูได้อย่างถูกต้อง

Lupus_facial_rash
สาเหตุของโรค SLE
สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่า ระบบการควบคุมการสร้าง และทำลายภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่ปกติ แต่ภูมิต้านทานที่สร้างขึ้นนั้น แทนที่จะทำลายเฉพาะเชื้อโรค แต่กลับทำลายเซลล์และเนื้อเยือของตนเองด้วย จึงเชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งเสริมให้เกิดโรค SLE นี้ได้ ดังนี้

1. พันธุกรรม พบว่าในแฝดจากไข่ใบเดียวกันมีโอกาสเกิดโรคนี้ถึงร้อยละ 30-50 และร้อยละ 7-12 ของ ผู้ป่วย SLE เป็นญาติพี่น้องกัน เช่น แม่และลูกสาว หรือในหมู่พี่น้องผู้หญิงด้วยกัน
2. ติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่สามารถค้นพบเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ได้
3. ฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะเอสโตรเจน โรคที่พบมากในสตรีวัยเจริญพันธุ์ บ่งชี้ว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศ นอกจากนี้ความรุนแรงของโรคยังแปรเปลี่ยนตามการมีครรภ์ ประจำเดือน และการใช้ยาคุมกำเนิด
4. แพ้แสงแดดและสารเคมี ยาบางอย่างเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรม โรคแสดงอาการของโรคนี้ได้
1204979158
สำหรับคนที่สงสัยว่า เป็นโรค SLE หรือไม่ อาจสังเกตุได้หลายอาการ ได้ดังนี้
1) ไข้เรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ
2) มีอาการเพลียมากผิดปกติเป็นเวลานาน
3) มีอาการเบื่ออาหาร รวมถึงน้ำหนักลด
4) รู้สึกเพลียมากขึ้นหรืออาจมีผื่นขึ้นร่วมด้วยเมื่อถูกแสงแดด
5) มีผื่นขึ้นโดยเฉพาะที่หน้า และส่วนอื่นๆของร่างกาย ซึ่งไม่ได้เกิดจากผื่นแพ้
6) มีอาการปวด บวมตามข้อ โดยเฉพาะตอนเช้าๆหลังตื่นนอน
7) มีอาการผมร่วงมากขึ้น
8) มีอาการบวมตามตัว ตามหน้า หรือ ตามเท้า
9) โรคที่อาจไม่ได้รับการวินิจฉัยที่แน่นอน

แต่จะให้ดี เมื่อสงสัยควรต้องรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคข้อและรูห์มาติก เพื่อทำการตรวจร่างกายจะดีกว่าที่จะวิตกกังวนไปเองนะค่ะ



อาการโดยทั่วไปเบื้องต้น
- อาการทั่วไป พบอาการไข้ ร้อยละ 40-85 มักจะเป็นไข้ต่ำ ๆ และหาสาเหตุไม่ได้
นอกจากนี้จะมี
- อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในขณะโรคกำเริบ
- อาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปาก ในระยะเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ผื่นรูปปีกผีเสื้อ ลักษณะเป็นผื่นบวมแดงนูนบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ผื่นจะเป็นมากขึ้นเมื่อถูกแสงแดด อาการทางผิวหนังอีกอย่างหนึ่งของโรคนี้คือ ปลายเท้าซีดเขียวเมื่อถูกน้ำหรืออากาศเย็น นอกจากนี้อาจพบผมร่วง และแผลในปากได้
- อาการทางข้อและกล้ามเนื้อ เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดข้อมากกว่าลักษณะข้ออักเสบ มักเป็นบริเวณข้อเล็ก ๆ ของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเท้า หรือข้อเข่า เป็นเหมือนๆ กันทั้ง 2 ข้าง ร้อยละ 17-45 พบอาการปวดกล้ามเนื้อ
- อาการทางไต ผู้ป่วยบางรายมาพบแพทย์ด้วยอาการทางไตเป็นอาการนำ อาการแสดงที่สำคัญของไตอักเสบจากลูปัส ได้แก่ บวม ปัสสาวะเป็นฟองตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง
- อาการทางระบบเลือด อาการที่พบได้แก่ อ่อนเพลียหน้ามืดจากภาวะซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ ทำให้ ติดเชื้อได้ง่าย และเกร็ดเลือดต่ำ อาจพบจุดจ้ำเลือดออกตามตัวได้
- อาการทางระบบประสาท อาการที่พบได้ คือ อาการชักและอาการทางจิตนอกจากนี้อาจมีอาการปวดศรีษะรุนแรง หรือมีอ่อนแรงของแขนขา อาจพบได้ในระยะที่โรคกำเริบ
- อาการทางปอดและเยื่อหุ้มปอด อาการที่พบบ่อยคือ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ อาการแสดงคือเจ็บหน้าอกโดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าสุด ตรวจพบมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด บางรายมีอาการปอดอักเสบซึ่งต้องแยกจากปอดอักเสบติดเชื้อ
- อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ที่พบบ่อยคือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ซึ่งมักพบร่วมกับเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการ เจ็บหน้าอก มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ เหนื่อยง่าย โรคหลอดเลือดหัวใจส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาวะหลอดเลือดแข็งจากการได้รับยาสเตียรอยด์นาน ๆ นอกจากนี้ภาวะความดันโลหิตสูง ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยจากไตอักเสบเรื้อรัง และจากการ ได้รับยาสเตียรอยด์
- อาการทางระบบทางเดินอาหาร ไม่มีอาการที่จำเพาะสำหรับโรคลูปัส อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง ซึ่งเป็นผลจากการใช้ยารักษาโรคลูปัส เช่น NSAIDS ยาสเตียรอยด์ อาการยังคงอยู่ได้แม้จะหยุดยาไปเป็นสัปดาห์

การรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน
        ยังไม่มีวิธีรักษาใดที่ทำให้หายขาดได้ แต่การปฏิบัติตัวที่ดี การเลือกใช้ยาที่ถูกต้องทั้งชนิด ขนาด และช่วงเวลาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมอาการของโรคนี้ได้ยากลุ่มหลักๆที่มักใช้ในการรักษาผู้ป่วย SLE มีดังนี้
1. ยากลุ่มลดการอักเสบหรือ NSAIDS
2. ยากดภูมิคุ้มกัน ในการรักษาอาการอักเสบของอวัยวะหลัก
- ยาสเตียรอยด์ ซึ่งถ้าใช้นานมีผลข้างเคียงมากมายและบางครั้งเป็นผลระยะยาวด้วย จึงทำให้มีการใช้ยาอื่น ทำให้แพทย์สามารถลดการใช้ยานี้ได้และในขณะเดียวกันสามารถคุมการอักเสบหรือโรคได้
- ยากลุ่มแก้มาลาเรีย เช่น hydroxychloroquine
- ยารักษามะเร็ง แต่ใช้ในขนาดยาต่ำกว่า เพื่อหวังผลลดการอักเสบ เช่น azathioprine, cyclophosphamide, cyclosporin - A, mycophenolate mofetil เป็นต้น
ผลข้างเคียงของยาใช้รักษา SLE แพทย์ผู้รักษาจะต้องอธิบายและปรึกษากับผู้ปกครองก่อนจะเริ่มใช้โดยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานผลข้างเคียง ระยะเวลาที่ใช้และข้อควรระวัง


อาการข้างเคียงของยาที่ใช้
1. NSAIDS ทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร บางรายเกิดแผลในทางเดินอาหาร ทำให้ถ่ายเป็นเลือดได้ ยาสเตียรอยด์ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น จากการคั่งของเกลือและน้ำ และจากการรับประทานอาหารได้มากขึ้น
2. Prednisolone ถ้าได้รับยาในขนาดสูง ๆ ต้องระวังปัญหาจากการติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง และถ้าได้รับยาเป็นเวลานาน ๆ อาจเกิดภาวะกระดูกพรุนและกระดูกหักง่าย ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ความรู้สึกทางเพศลดลง มีสิวขึ้น ปวดข้อที่เกิดจากหัวกระดูกขาดเลือด และเกิดลักษณะของกลุ่มอาการคุชชิ่ง ได้แก่ หน้ากลม ไหล่และคออูม ลำตัวอ้วน
3. ยาต้านมาลาเรีย ( คลอโรควีนและไฮดรอกซีคลอโรควีน ) อาจมีอาการตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน กลัวแสงหรือตาบอดสีหรือทำให้เลือดออกในจอตา ผู้ป่วยที่ใช้ยาเหล่านี้ต้องตรวจตาอย่างละเอียดโดยจักษุแพทย์ทุก 6 เดือน นอกจากนี้อาจพบอาการเบื่ออาหาร ท้องเสียหรืออาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้
4. ยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น Cyclophosphomide, azathioprine) อาจกดไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็ดเลือดต่ำและซีดได้ นอกจากนี้ทำให้มีคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กดการทำงานของรังไข่ทำให้มีประจำเดือนผิดปกติ และมีบุตรยากได้ การใช้ยาเหล่านี้เป็นระยะเวลานาน (ติดต่อกันเกิน 2 ปี) จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้มากกว่าคนทั่วไป


การฟื้นฟูร่างกายโดยวิถีธรรมชาติบำบัด ทำให้โรค SLE หายได้ด้วยธรรมชาติบำบัด
1. หลีกเลี่ยง ลด ละ เลิก อาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น ของหวาน กาแฟ ชา บุหรี่ เหล้า ของดอง อาหารแปรรูปที่มีการใส่ ผงชูรส สารกันบูด สารกรอบ เป็นต้น
2. หลีกเลี่ยงการออกแดด หรือตากแดด เป็นเวลานาน ๆ เพราะพบว่าแสงแดด เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบของอาการได้
3. รับประทานเมล็ดทานตะวัน วันละ 1 กำมือ สารทองแดงในเมล็ดทานตะวัน จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ
4. ดื่มน้ำผักปั่นก่อนอาหารทุกมื้อ ๆ ละ 1 ลิตร (ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง) สารอาหารในน้ำผักปั่นจะช่วยลดสารอักเสบ และบรรเทาอาการแพ้ และฟื้นฟูระบบภูมิต้านทานให้ทำงานได้อย่างสมดุล
-->

5. รับประทานธัญพืช หรือข้าวกล้องผสมธัญพืช วันละ 3 มื้อ สารอาหาร แร่ธาตุต่าง ๆ ในข้าวกล้องและธัญพืช จะช่วยบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบ และฟื้นฟูเซลล์เม็ดเลือด และปรับสมดุลของระบบภูมิต้านทาน
6.รับประทานปลาทูน่าในน้ำแร่ วันละ 200 กรัม กรดโอเมก้า 3 ในปลาทูน่า จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อกระดูกให้ดีขึ้น
7. หลีกเลี่ยงเนื้อวัว เนื้อหมู ข้อไก่ ข้อเป็ด เนื้อเป็ด และเนื้อสัตว์หน้าดิน เช่น ปลาดุก ปลานิล หอย ปู กุ้ง เป็นต้น เพราะ เนื้อเหล่านี้จะมีฮอร์โมนและสารโลหะหนักปนเปื้อนในปริมาณสูง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
8. รับประทานผักสีเขียวทุกมื้อ เช่น ผักปวยเล้ง บร็อกโคลี่ ผักกาดเขียว เป็นต้น กรดโฟลิคในผักสีเขียวเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการปวด และการอักเสบได้อย่างดี
9. ดื่มน้ำเอนไซม์จากผลไม้ เป็นประจำทุกวัน โดยเน้นการรับประทานก่อนอาหาร 30 นาที ทุกมื้อ เพื่อปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน และดื่มหลังอาหารเช้า และเย็น ครั้งละ 1 แก้ว เพื่อช่วยในการย่อยสลายของเสียที่ตกค้างในระบบทางเดินอาหารในร่างกาย ลดโอกาสการเกิดการแพ้ หรือ การอักเสบ เป็นต้น
-  ถ้าใช้น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ขนาด 750 ml ให้ใช้อัตราส่วน 1 – 2 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว (250 cc) ดื่มก่อนอาหาร และหลังอาหารทุกมื้อ
- ถ้าใช้น้ำพลังเอนไซม์บำบัดเข้มข้น ขนาด 187 ml ให้ใช้อัตราส่วน 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว (300 cc) ดื่มก่อนอาหาร และหลังอาหารทุกมื้อ (โดยเฉพาะมื้อเช้า และเย็น) หรือใช้ 1 – 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 ลิตร ดื่มแทนน้ำเปล่าได้ทั้งวัน



ผลิตภัณฑ์แนะนำ อื่น ๆ
1. กรณีมีปัญหาที่ผิวหนัง เช่น เป็นผื่น บวม แดง อักเสบ ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ เอนไซม์อาบน้ำสระผมสูตรไร้สารเคมีในการอาบน้ำทุกวัน และใช้โลชันโรคผิวหนังทาเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ คัน และให้ความชุ่มชื้นผิว
2.กรณีบวม อักเสบ เป็นผื่นทั่วตัว ให้เพิ่มเติมการดูแลภายนอกด้วยการใช้เอนไซม์แช่ล้างผัก มาผสมน้ำแช่ตัวทุกวัน วันละ 15 นาที โดยใช้อัตราส่วน 5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ   1 – 3 ลิตร หรือใช้ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 1 แล้วใส่ในขวดสเปร์ยฉีดพ่นทั้งตัว ได้ทั้งวัน
3. กรณีมีไข้ ปวดหัว ตัวร้อน ตัวกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ทั้งวัน ให้ ต้มน้ำโหระพา (วิธีต้มน้ำโหระพา) ดื่มแทนน้ำเปล่า ทั้งวัน ประมาณ 2 -3 ลิตร ต่อวัน หรือ ต้มลูกเดือย ทำเป็นเมนูลูกเดือย เช่น ข้าวต้มลูกเดือย หรือ น้ำนมลูกเดือย หรือ สูตรน้ำนมธัญพืช ก็ช่วยลดไข้ได้ผลไดี

และระหว่างที่ ดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ปรับสมดุลย์ของร่างกายอยู่ หากมีปัญหาอะไร ให้อีเมล์มาสอบถามได้ที่คุณตู๋ tusora@hotmail.com นะค่ะ

หมายเหตุ
ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบ้านรักษ์สุขภาพ มิใช่ยา ที่ใช้ในการรักษา บำบัด แต่เป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการปรับสมดุลของร่างกาย เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างปกติ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ เพื่อใช้ในการดูแลสุขภาพในแนวธรรมชาติบำบัดเท่านั้น มิใช่ ยารักษาโรค แต่อย่างใด เป็นเพียงอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพเท่านั้น
-->

25 มิถุนายน 2554

สูตรล้างระบบดูดซึม ลำไส้เล็กของ

จากหนังสือ นาฬิกาชีวิต ของ อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา กล่าวไว้ว่า "เวลาบ่ายโมง ถึง บ่ายสาม คือช่วงเวลาของลำไส้เล็ก" ที่พลังชี่ หรือพลังชีวิตจะไหลเวียนเข้าออกในบริเวณอวัยวะนั้น การพักผ่อน การล้างทำความสะอาด ลำไส้เล็ก จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม เป็นอย่างยิ่ง ในหนังสือ สูตรเด็ด แก้เจ็บ แก้จน ของ อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ได้เสนอสูตรอาหาร สูตรยา สูตรสมุนไพร ที่น่าสนใจไว้ มากมาย เราจะยกตัวอย่าง เล็กน้อย ดังนี้

สูตรล้างไขมันในลำไส้เล็ก

ปัญหาสุขภาพอีกเรื่องใหญ่ของคนไทย ก็คือ ระบบดูดซึมเสีย เกิดจากการกินของผัด ของทอดน้ำมัน บ่อยเกินไป
เพราะน้ำมันพืชที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมันปาล์ม (สังเกตุง่าย  ๆ ว่าพอน้ำมันปาล์มขาดตลาด น้ำมันชนิดอื่น ก็พลอยหายไปด้วย?) จะไปเกาะเป็นการเหนียวในลำไส้เล็ก ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำและสารอาหารที่ละลายในน้ำไม่ได้ อย่างเช่น วิตามินบี วิตามินซี โปรตีน หรือกรดอะมิโน เลยต้องไปดูดซึมผ่านเส้นเลือดฝอยแทน ส่งผลให้ไตทำงานหนักมีโปรตีนรั่งหรือตรวจเจอไข่ขาวในปัสสาวะ หมอก็จะแนะนำให้กินไข่ขาวเพิ่ม ซึ่งนั่นไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ปล่อยไว้นานวันไตก็จะเสื่อม ต้องไปฟอกไต เป็นไตวาย-ตายไว้ในที่สุด

เมื่อระบบดูดซึมเสีย เวลากินน้ำ น้ำจะไม่เข้าตัว สั่งเกตุได้จาก เราทานน้ำเข้าไป ก็ปวดปัสสาวะบ่อย แสดงว่าไตเริ่มมีปัญหา ไม่สามารถดูดซึมน้ำไปใช้ได้ การปัสสาวะบ่อย ๆ ทำให้ไม่อยากดื่มน้ำ พอร่างกายขาดน้ำก็จะไปดึงน้ำจากถุงน้ำดีไปใช้ ทำให้ถุงน้ำดีข้น เกิดปวดหัว เป็นไมเกรน นอนไม่หลับ มีอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นหวัดบ่อย ๆ เป็นภูมิแพ้ เป็นต้น แก้กันไม่รู้จบสิ้น

เมื่อวิตามินบีกับกรดอะมิโนดูดซึมไม่ได้ สมองจะขาดสารอาหารไปเลี้ยง ทำให้ความจำลดลง สมองเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์

สูตรล้าง ๑ น้ำปัสสาวะ สูตรนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก กินได้ ก็กินเข้าไป กินไม่ได้ก็อย่างไปกิน

สูตรล้าง ๒ ชามะละกอ ใช้มะละกอดิบปอกเปลือกล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นแบบพัก ๖-๘ ชิ้น ต้มในน้ำเดือดนาน ๑๐ นาที ตักเนื้อมะละกอชิ้น นำน้ำร้อนที่ได้มาชงกับชาจีน ชาเขียว หรือชาใบหม่อน แช่ไม่เกิน ๕ นาที ก็จะได้ชามะละกอดื่มแทนน้ำ อร่อยชื่นใจดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น

สูตรล้าง ๓ โยเกิรต์นมสดน้ำผึ้งมะนาว โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ๑/๒ ถ้วย นมสด ๑ กล่อง น้ำผึ้ง และน้ำมะนาวตามใจชอบ ชงผสมให้เข้ากัน ตั้งวางไว้อย่างน้อย ๑๕ นาที เพื่อให้จุลินทรีย์ในโยเกิร์ตโตฟูเต็มที่ สูตรนี้ถ้าเกินตอนเช้าจะช่วยลดน้ำหนัก กินตอนบ่ายจะเพิ่มน้ำหนัก ให้วิตามินบี บำรุงสมอง วิตามินซี เพิ่มภูมิต้านทาน จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อย นมใสดให้โปรตีน และแคลเซียม

สูตรล้าง ๔ รากหญ้าคา เก๋ากี๋ เก๊กฮวย ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ตะไคร้หอม ต้มรวมกันกินแต่น้ำ

สูตรล้าง ๕ บอระเพ็ด นำบอระเพ็ดยาว ๑ เกียก (ประมาณ ๑ คืบของคนกิน) ต้มน้ำดื่ม ช่วยล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี

สูตรล้าง ๖ ดีบัว นำไส้ในของเม็ดบัวตากแห้ง มาต้มน้ำดื่ม ช่วยล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี

ข้อมูลนี้นำมาจากหนังสือ สูตรเด็ด แก้เจ็บ แก้จน ของอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา สามารถ ดาวน์โหลด หนังสือได้ที่ นี้ แก้เจ็บ แก้จน 

บ้านรักษ์สุขภาพ ได้รับหนังสือเล่มนี้ มา และเห็นว่ามีประโยชน์ แก่ผู้อ่านทุกท่าน ที่ต้องการดูแลสุขภาพ และเป็นแนวทางในการรักษาดูแลสุขภาพแบบแพทย์ทางเลือก เช่นเดียวกัน จึงได้นำมาเผยแพร่ต่อเพื่อเป็นวิทยาทาน และหวังเป็นอย่างยิ่งที่ทุกท่านจะได้รับความรู้และนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับร่างกายและ การดำเนินชีวิตของทุกท่านค่ะ